Category ข่าววันนี้

อดีตพระถูกหวย

ส่อวุ่น อดีตพระถูกหวย 6 ล้าน สึกมาแต่งงาน เหลือเงินติดบัญชี 2 บาท เมียยันไม่เกี่ยว

อดีตพระถูกหวย 6 ล้าน สึกออกมาสมรสได้ 3 เดือน บุกด่าแม่แท้ ๆ ไม่ชอบใจที่กล่าวโทษเมียว่า ยักยอกเงินในบัญชีจนกระทั่งเหลือ 2 บาท

จากในกรณีที่นางอ่อน อายุ 67 ปี ชาวตำบลหนองตาด อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ ได้นำหลักฐาน ที่ลูกชายไปแจ้งความ ลงบันทึกประจำวันไว้ที่ สภ.เมืองบุรีรัมย์ วันที่ 19 ธันวาคม 65 ก่อนหน้าที่ผ่านมา พร้อมสมุดบัญชีธนาคาร แล้วก็รายการเบิกถอนเงิน จากบัญชีธนาคาร ของนายไมล์ อายุ 48 ปี หรือ อดีตพระไมล์ ซึ่งเป็นลูกชาย ที่เคยถูกลอตเตอรี่รางวัลที่ 1 งวดประจำวันที่ 1 สิงหาคม 65

ได้เงินรางวัล 6 ล้านบาท แล้วได้สึกออกไปสมรส อาจถูกนางกนกวรรณ อายุ 50 ปี ภรรยาที่พึ่งจะสมรส อยู่กินกันได้เพียง 3 เดือน หลอกลวงจนหมดตัว เพราะเมื่อวันที่ 18 ธ.ค. 65 ลูกสะใภ้ได้ ไปถอนเงินก้อนสุดท้าย ที่เหลือในบัญชี ของลูกชายไปกว่า 480,000 บาท ในวันเดียว เหลือเงินติดบัญชีแค่ 2 บาท

ล่าสุดวันที่ (21 ธันวาคม 65) ไปที่บ้านนางอ่อน ผู้เป็นแม่อีกรอบ พบว่ามีญาติ ๆ

แล้วก็ชาวบ้านมาให้กำลังใจ หลาย ๆ คน เพราะหลังจากที่แม่ออกมา ร้องขอความเป็นธรรม กลัวลูกสะใภ้หลอก เอาเงินทรัพย์สิน ลูกจนหมดตัว แต่ตอนบ่ายวันที่ 21 ธ.ค. นายไมล์ ลูกชายพร้อมญาติเมีย อีก2 คน

ได้บุกมาทวงเอารถ หกล้อเล็กบรรทุก เครื่องเสียง ที่จอดไว้หน้าบ้านของแม่ แต่แม่กล่าวว่าไม่ให้ เพราะว่ากลัวลูกจะเอาไปขาย แล้วก็ที่ไม่ให้เอาไปเพราะเหตุว่าต้องการจะเก็บไว้ให้ลูก เผื่อวันใดวันหนึ่ง ลูกหมดตัวไม่เหลืออะไร หรือถูกเมียทิ้ง ก็ต้องกลับมาอยู่ กับแม่เหมือนเดิม

อดีตพระถูกหวย 6 ล้าน

ซึ่งเวลาที่ลูกชายมาโวยวาย ทวงรถและก็ว่ากล่าวแม่ ก็มีชาวบ้านบันทึกคลิป เหตุการณ์ไว้ด้วย ก็จะเป็นภาพที่นายไมล์ บังคับจะเอากุญแจ รถยนต์จากแม่ แต่พอแม่ไม่ให้ ก็ตะโกนด่าด้วย ความโมโหต่อหน้าญาติ และก็ชาวบ้าน

จากการสอบถามผู้เป็นแม่ พูดว่า วันนี้ลูกชายได้ บุกมาทวงรถหกล้อ ที่จอดไว้หน้าบ้านแม่ จะเอาไปที่บ้านเมีย แต่พอตนเองกล่าวว่า ไม่ให้เพราะว่าอยากเก็บไว้ให้ลูกชาย ถ้าเกิดอนาคตลูกไม่เหลืออะไร หรือบางทีอาจถูกเมียทิ้ง เนื่องจากไม่มีอะไรแน่นอน

ที่ผ่านมาหลังจากลูกถูกลอตเตอรี่ ก็มิได้เรียกร้องอะไรจากลูก บ้านที่ลูกสร้างให้ ก็ยังสร้างไม่เสร็จ และไม่รู้ว่า ลูกจะสร้างให้ต่อจนเสร็จหรือไม่ ตนก็ต้องการดูแลรถหกล้อ รวมทั้งที่ดินที่ลูกซื้อ ไว้ตอนถูกลอตเตอรี่เอาไว้ให้ลูก แต่ลูกกลับมาโวยวายใส่ ทั้งขู่จะทำร้าย แล้วยังประกาศตัดแม่ลูก หากแม่ตาย ก็จะไม่ยอมมาเผาศพด้วย ตนก็รู้สึกเศร้ามาก ที่ลูกมาทำแบบนี้

หลังจากนั้นก็ไปถามไถ่นายไมล์ลูกชาย อดีตพระถูกหวย ซึ่งอยู่ที่บ้านภรรยา

ก็ยอมรับว่าได้ไปทวง เอารถหกล้อบรรทุกเครื่องเสียง ที่จอดไว้ที่บ้านแม่จริง เพื่อจะเอาไปแห่งานต่าง ๆ ในตอนเทศกาลปีใหม่ ที่รับเอาไว้ ล่วงหน้าหลายงาน ถ้าหากไม่มีรถเครื่องเสียง ไปรับงานก็จะต้องเสียค่าปรับ ที่รับงานเอาไว้ พอแม่ไม่ยอมเอากุญแจให้ ก็เอารถเครื่องเสียงมามิได้ ก็เลยโมโหพลั้งปากต่อว่าแม่ ก็อยากจะขอโทษแม่พร้อมทั้งยกมือไหว้ขอโทษแม่ผ่านสื่อด้วย

ส่วนที่แม่กลุ้มใจว่า ภรรยาจะหลอกเอาเงิน หรือทรัพย์สินของตนเองนั้น รับรองว่าเวลานี้ทรัพย์สิน ที่ตัวเองซื้อก็ยังเป็นชื่อของตัวเอง ไม่ได้ยกให้ภรรยา ส่วนเงินที่ภรรยา ถอนออกมาล่าสุด ภรรยาก็เป็นคนเก็บไว้

ด้านนางกนกวรรณ ภรรยา ซึ่งวันนี้ก็ใส่ทั้งสร้อยทอง กำไลทอง และก็แหวนเพชร ที่สามีให้เป็นสินสอดวันแต่งงาน ก็กล่าวว่าสินสอดยังอยู่ครบ ส่วนเงิน 480,000 บาท ที่ถอนออกมา ล่าสุดก็ยังอยู่กับตนเอง แต่ว่าเหลือเพียงหลักหมื่นแค่นั้น เพราะเหตุว่าใช้ซื้อของมาตกแต่งรถแห่ไว้รับงาน แต่ว่ารับรองว่า ไม่ได้หลอกจะเอาเงินสามี

อดีตพระถูกหวย 6 ล้าน สึกมาแต่งงาน

ดังที่แม่หรือญาติฝ่ายชายกล่าวหา รับรองว่าที่แต่งงานแล้วก็ใช้ชีวิต อยู่ด้วยกันเพราะเหตุว่าความรัก ซึ่งหากจะเลิก หรือแยกทางกัน ก็ขึ้นอยู่กับเราสองคน มิได้เกี่ยวกับเงิน หรือบุคคลอื่น ส่วนปัญหาระหว่างแม่กับสามี ที่ไม่เข้าใจกัน ตนไม่ได้อยากยุ่ง

จากนั้นตอนเวลาค่ำ แม่ไปหาลูกชาย ที่บ้านภรรยา เพื่อจะได้พูดคุยทำความเข้าใจกัน แต่ว่าลูกชายกลับเมาหลับ อยู่ในบ้าน พอลุกขึ้นมา ก็คุยกันไม่รู้เรื่อง ส่วนภรรยาไม่ขอยุ่ง ได้ปล่อยให้แม่ลูกเขาคุยกันเอง แต่ว่าสุดท้ายก็ยังตกลงกันไม่ได้ เพราะเหตุว่าลูกชาย อยู่ในอาการเมาค้าง

จบด้วยดี อดีตพระถูกหวย 6 ล้าน เมียถอนเงินในบัญชี เหลือแค่ 2 บาท

ก่อนหน้าที่ผ่านมา วันแต่งงาน วันที่ 21 เดือนตุลาคม ลูกชายได้นำสินสอด เป็นเงินสด 100,999 บาท พร้อมทองหนัก 5 บาท แหวนเพชร 1 วง และก็สมุดบัญชีธนาคาร ของลูกชาย ที่มียอดเงินในบัญชี 1.2 ล้านบาท ที่ได้มาจาก การถูกลอตเตอรี่รางวัลที่ 1 ไปวางใส่ในพานสินสอด เพื่อมอบให้ภรรยา เป็นคนดูแลด้วย

แต่ว่าถัดมาวันที่ 16 ธ.ค. นางกนกวรรณ ลูกสะใภ้ ได้ไล่ลูกชายตนออกจากบ้าน โดยหาว่าลูกชาย ดื่มแต่เหล้า แล้วต่อจากนั้นลูกชายก็ได้กลับไปเอา ทรัพย์สิน ที่ลูกชายเป็นคนซื้อ

อย่างเช่น รถหกล้อเล็กติดเครื่องเสียง ไว้สำหรับรับงานแห่คืน รวมทั้งพยายาม จะเอารถกระบะป้ายแดงคืนด้วย แต่ว่าลูกสะใภ้ไม่ให้แถมยังเรียกตำรวจมา หาว่าลูกชายตัวเองบุกรุกบ้าน

แล้วหลังจากนั้นลูกชาย ก็ไปแจ้งความไว้เป็นหลักฐาน เพื่อจะเรียกร้องสิทธิ์ตามกฎหมาย แล้วกลับมาอยู่ที่บ้านกับแม่ แต่พอ เช้าวันนี้ 20 ธันวาคม ภายหลังจากลูกสะใภ้ทราบว่าลูกชายแจ้งความ ก็กลับมาตามเอาลูกชายตัวเอง กลับไปอยู่บ้านคืน

เรือหลวงสุโขทัย

เรือหลวงสุโขทัย ล่ม อัปเดตยอดสูญหาย 30 นาย จากเดิม 31 พบลากิจ 1 ไม่ได้ขึ้นเรือ

ผบ.ทัพเรือภาคที่ 1 ได้เผยปูพรมค้นหาลูกเรือ เรือหลวงสุโขทัย อีก 30 นาย ที่ยังคงสูญหายอย่างเต็มความสามารถ ยืนยันบนเรือมีชูชีพกับพวงชูชีพสำหรับลูกเรือทุกคน

พลเรือโทพิชัย ล้อชูสกุล ผบ.ทร.ภาค 1 ยืนยัน

ลูกเรือของเรือหลวงสุโขทัยที่จมทะเลสามารถค้นและช่วยเหลือได้แล้ว 75 ราย โดยรายล่าสุดที่เรือหลวงกระบุรีได้นำมาขึ้นที่ท่าบางสะพาน คือ พันจ่าเอกนที ทิมดี ภายหลังจากทีมค้นหาพบว่านอนหมดสติลอยคอกลางทะเล

โดยภายหลังจากเรือจอดเทียบท่าสนิท ก็ได้นำส่ง พันจ่าเอกนที ที่สามารถเดินขึ้นเรือมาที่เปลผู้ป่วยได้เอง ก่อนกู้ภัยนำส่งไปยังโรงพยาบาลบางสะพาน พบว่า มีบาดแผลบริเวณศีรษะ และข้อเท้าและมีอาการตาแดง
แต่อาการโดยรวมปลอดภัย มีสติพูดคุยได้ แต่ก็มีสภาพอิดโรยอย่างเห็นได้ชัดเจน เนื่องจากลอยคออยู่ในน้ำนานกว่า 10 ชั่วโมง

ผู้บัญชาการกองทัพเรือ

ด้าน นาวาโทไกรพิชญ์ กรวีร์ปภาวิทย์ ผู้บัญชาการเรือหลวงกระบุรี ซึ่งเป็นทีมค้นหา ยืนยันว่ากำลังพลคนล่าสุด ที่ได้รับความช่วยเหลือ คือ พันจ่าเอกนที ทิมดี เป็นกำลังพลเรือหลวงสุโขทัย สภาพปลอดภัย แต่มีอาการอ่อนแรง

พร้อมทั้งเล่าวินาทีที่ได้เข้าไปช่วยเหลือกำลังพลคนนี้ว่า ทีมค้นหาได้รับแจ้งจากเฮลิคอปเตอร์ที่บินค้นหา ว่าพบพวงชูชีพประมาณ 4 พวง ซึ่งห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 4 ไมล์ หรือประมาณ 8 กม. แต่มองไม่เห็นว่ามีคนอยู่หรือไม่ จึงได้นำเรือหลวงกระบุรีเข้าไปดู

ปรากฎว่าเจอเพียงคนเดียวลอยกอดชูชีพอยู่ ที่เหลือเป็นพวงชูชีพเปล่า จึงนำเรือเข้าไปรับ ทราบว่าลอยอยู่ในน้ำทะเลประมาณ 10 ชั่วโมง แต่ยังพอมีสติและมีแรงดึงขึ้นเรือได้ปลอดภัย แต่จะมีแผลถลอกเพียงแค่เล็กน้อย บริเวณศีรษะและตาที่เจ็บเพราะโดนน้ำทะเลมาก

สำหรับปฎิบัติการค้นหาลูกเรืออีก 30 นาย ที่เหลือ จะดำเนินการต่อเนื่อง 24 ชั่วโมง โดยจะใช้เรือทั้งหมด 4 ลำใหญ่ ก็คือ เรือหลวงอ่างทองเป็นเรือควบคุมสั่งการ ส่วนที่เหลือก็คือเรือหลวงกระบุรี เรือหลวงภูมิพลอดุลยเดช และเรือหลวงนเรศวร ซึ่งเป็นเรือที่มีศักยภาพสูงที่สุดของกองทัพเรือที่จะเข้ามาช่วย โดยจะวางกระจายจุดในพื้นที่ 30 ตารางไมล์ทะเล

กองทัพอากาศ

กองทัพอากาศ ส่ง อากาศยานมาร่วมค้นหา

ขณะกองทัพอากาศก็จะส่งอากาศยานจะมาร่วมการค้นหาในการบินตรวจหาเรดาร์ ร่วมกันกับเฮลิคอปเตอร์ ซึ่งหากพบจะมีชุดปฎิบัติการพิเศษทั้งมนุษย์กบ กรมสรรพพาวุธและกองทัพอากาศ โดยจะส่ง นักประดาน้ำลงไป เพื่อไปพยุงและนำขึ้นเรือให้เร็วขึ้น

พร้อมยืนยันว่า จะค้นหากำลังพลที่เหลือ และได้ช่วยทุกคนให้ได้ด้วยทรัพยากรที่มีอย่างเต็มที่ ส่วนขวัญกำลังใจของทีมค้นหาพร้อมตลอดเพื่อที่จะช่วยเหลือให้ได้ เบื้องต้น เชื่อว่าถ้าหากลูกเรือที่ใส่ชูชีพหรือมีพวงชูชีพจะสามารถลอยอยู่ได้นาน 48 ชั่วโมง ดังนั้นวันนี้ (20 ธ.ค.) พยายามค้นหาให้หมด

ผบ.ทร.ภาค 1 ยอมรับว่า ชูชีพบนเรือไม่ได้มีครบตามจำนวนกำลังพล 106 คน แต่ยืนยันว่า ยังมีอุปกรณ์ช่วยพยุงสำหรับกำลังพลที่เหลือ และช่วงเกิดเหตุกำลังพลทุกคน ขึ้นไปเกาะอยู่บริเวณกาบเรือ เพื่อเตรียมสละเรือ ดังนั้นมั่นใจว่าจะไม่มีกำลังพลติดอยู่ในเรือ

พร้อมทั้งยืนยันว่าการตัดสินใจสละเรือไม่ได้ล่าช้า แต่ก็เป็นไปตามขั้นตอน และระเบียบการปฎิบัติทุกขั้นตอน ส่วนสาเหตุที่น้ำเข้าห้องเครื่องจำนวนมาก ยอมรับเป็นเรื่องผิดปกติ เพราะเหตุเช่นนี้ยากที่จะเกิดขึ้นกับเรือรบ
ซึ่งจากนี้จะตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง

ล่าสุด แต่ภาคที่ 1 ระบุว่า ผู้สูญหาย ตอนนี้ คือ 30 นาย แต่ก็ไม่ได้เป็นการพบเพิ่มเติม แต่จากเดิมที่ระบุตัวเลขสูญหาย 31 นาย แต่เป็นการไปตรวจสอบข้อมูลพบรายชื่อที่ต้องขึ้นเรือ 106 นาย แต่ลากิจ 1 นาย ไม่ได้ขึ้นไปกับเรือ เท่ากับเหลือขึ้นเรือจริงๆ 105 นาย ขณะนี้ยังต้องเร่งค้นหาอีก 30 นาย

ส่วนกระแสข่าวที่ว่า พบเพิ่มอีก 3 นาย แล้วนั้น ไม่เป็นความจริง และน่าจะเข้าใจคาดเคลื่อน ขณะที่ในช่วงเช้าวันนี้ จะมีการประชุมวางแผนเพื่อค้นหาและช่วยเหลืออีกครั้ง

กองทัพอากาศร่วมค้นหา

“เรือหลวงสุโขทัย” ใช้งานนาน 35 ปี ก่อนอับปางกลางทะเลอ่าวไทย

จากข้อมูลของกองทัพเรือ ให้ข้อมูลว่าเป็นเรือคอร์เวตชุดเรือหลวงรัตนโกสินทร์ (2 ลำ) สังกัดกองเรือฟรีเกตที่ 1 กองเรือยุทธการ สร้างโดย TACOMA BOATBUILDING COMPANY ที่เมือง TACOMA สหรัฐอเมริกา โดยเรือหลวงสุโขทัย เดิมมีชื่อว่า RTN 252 FT PSMM MK-16 #446 ที่ได้รับการติดตั้งระบบอาวุธยุทโธปกรณ์และระบบอำนวยการรบที่ทันสมัย มีขีดความสามารถและประสิทธิภาพสูงพร้อมปฏิบัติการรบได้ทั้ง 3 มิติในเวลาเดียวกัน
คือ การป้องกันภัยทางอากาศ ผิวน้ำ และสงครามปราบเรือดำน้ำ

ภารกิจหลักของเรือหลวงสุโขทัยคือการปราบเรือดำน้ำ ลาดตระเวนตรวจการณ์ คุ้มกันกระบวนเรือ สนับสนุนการยิงฝั่ง ส่วนภารกิจรองคือสนับสนุนภารกิจกองทัพเรือ

เรือหลวงสุโขทัยลำปัจจุบัน ซึ่งเป็นเรือลำที่ 2 ภายหลังจากที่เรือลำแรกได้ปลดระวางไปแล้ว เนื่องจากมีการใช้งานมาเป็นระยะเวลายาวนาน โดยเรือหลวงลำนี้ เป็นเรือหมายเลข 442 วางกระดูกงู เมื่อวันที่ 26 มี.ค. 2527 ขึ้นระวางประจำการ 19 กุมภาพันธ์ 2530 สร้างโดย Tacoma Boat Building Co, สหรัฐอเมริกา มีความยาวตลอดลำ 76.8 เมตร ความกว้าง 9.6 เมตร กินน้ำลึก 4.5 เมตร ความเร็วมัธยัสถ์ 18 นอต ความเร็วสูงสุด 24 นอต ระวางขับน้ำปกติ 840 ตัน ระวางขับน้ำสูงสุด 960 ตัน ระยะปฏิบัติการไกลสุด 3,568 ไมล์ กำลังพลประจำเรือ 87 นาย

ระบบตรวจการณ์

  • เรดาร์ตรวจการณ์พื้นน้ำ Decca 1226
  • เรดาร์ตรวจการณ์พื้นน้ำ/อากาศ ZW-06
  • เรดาร์ตรวจการณ์พื้นน้ำ/อากาศ DA-05
  • โซนาร์ติดใต้ตัวเรือ STN Atlas DSQS-21C
  • เรดาร์ควบคุมการยิง WM-25
  • LIROD-8 optical

อากาศยานร่วมค้นหา เรือหลวงสุโขทัย

ระบบอาวุธ

  • ปืน 76/62 มม. จำนวน 1 กระบอก
  • ปืน 40L70 มม. แท่นคู่ 1 กระบอก
  • ปืน 20 มม. 2 กระบอก
  • ระบบอาวุธปล่อยนำวิถี พื้น-สู่-พื้น แบบ ฮาร์พูน 2 แท่น (8 ท่อยิง)
  • ระบบอาวุธปล่อยนำวิถี พื้น-สู่-อากาศ แบบ อัลบราทรอส 1 แท่น (8 ท่อยิง)
  • ท่อตอร์ปิโด 2 แท่น (6 ท่อยิง)

ระบบขับเคลื่อนและเครื่องจักรช่วย

  • เครื่องจักรใหญ่ดีเซล MTU 20V1163 TB83 2 เครื่อง
  • เพลาใบจักร 2 เพลา

ทั้งนี้ เรือในชุดเดียวกัน เรือหลวงรัตนโกสินทร์ (ลำที่ 2) เรือหลวงสุโขทัย (ลำที่ 2)

เปิดใจเด็กนักเรียน

เปิดใจเด็กนักเรียน ร้องไห้ไหว้นายทุน ปิดทางเข้าออกโรงเรียนบนเกาะหลีเป๊ะ

รายการโหนกระแส วันนี้ เปิดใจนักเรียน ร้องไห้ไหว้ นายทุน ปิดทางเข้าออกโรงเรียน บนเกาะหลีเป๊ะ ตัวแทนชาวบ้านจี้สอบ ได้เอกสารสิทธิ์โดยชอบหรือไม่ แฉ ซ้ำรุกที่อุทยาน

รายการโหนกระแสวันที่ 15 เดือนธันวาคม 65 ดำเนินรายการโดย “หนุ่ม กรรชัย กำเนิดพลอย” ได้สัมภาษณ์ ป้าดุก พิชญา แก้วขาว ตัวแทนมูลนิธิชุมชนไท ซึ่งเป็นตัวแทนชาวบ้าน , เรณู – ละออง ชาวบ้านที่ถูกนายทุนแจ้งความบุกรุก ดร.มนต์ชัย จงไกรรัตนกุล หรือ ทนายแก้ว รองประธานคณะกรรมการเผยแพร่กฎหมาย สภาทนายความ รวมทั้ง พันตำรวจตรีวรณัน ศรีล้ำ ผู้อำนวยการกองบริหารคดีพิเศษ และ ในฐานะโฆษกกรมสอบสวนคดีพิเศษ

ประเด็นมันอย่างไรกันแน่ เห็นเด็กนักเรียนมาร้องห่มร้องไห้?

ป้าดุก : ที่จริงรากของปัญหา เรา มีความคิดว่า ออกเอกสารสิทธิ์โดยไม่ถูกต้อง ครอบเส้นทางสาธารณะ ที่ชาวบ้านเดินกันมา 4 รุ่นคน ไม่น่าต่ำกว่า 100 ปี อยู่กัน 1,500 คนที่อยู่ที่นั่น กลุ่มคนเหล่านี้ เขาประกาศว่า จะอยู่กับสยาม ทำให้เกาะหลีเป๊ะ ซึ่งอยู่ห่างไกลจากฝั่งไป 60 กว่ากิโล เป็นของไทย ทำให้พวกเรา ได้ทะเลบริเวณนั้นมาทั้งหมด นี่คือที่มาที่ไป

ร้องไห้ไหว้นายทุน

แล้วไปเกี่ยวอะไรกับที่ดินแปลงนี้ เพราะอะไร นายทุน ไปจับจองซื้อตรงนี้ แล้วมากั้นรั้ว เกิดอะไรขึ้น?

ป้าดุก : คือ ชาวเลเขาอยู่กันแบบพออยู่พอกิน ไม่ได้ถือเอกสารสิทธิ์ ไม่ได้แบ่งเขตอะไรกัน บ้านส่วนมาก ก็อยู่ติดทะเล เขาต้องออกทะเล มีเรือ พอมารุ่นที่มีเรื่องเอกสารสิทธิ์ การท่องเที่ยวเข้ามาด้วย ทำให้เขาถูกกดดัน ไม่เรียกว่า ข่มขู่ แต่ว่าถูกกดดัน พูดว่า ที่ดินตรงนี้ เป็นของฉัน โดยที่ชาวบ้านไม่เคยรู้

ที่ตรงจุดนี้ มันคืออะไร ที่เกิดข้อพิพาท มันคืออะไร?

ป้าดุก : ตรงจุดนี้ เป็นจุดที่มีโรงเรียนอยู่ มีทางเข้าออกทะเล

แสดงว่า คนมาซื้อที่ แล้วก็ ไล่ที่ชาวบ้าน มาซื้อ น.ส.3 คือหนึ่งในคนที่รุกที่อุทยานด้วย?

ป้าดุก : ใช่ค่ะ

เขาฟ้องเราว่าอะไร?

เรณู : บุกรุกค่ะ ให้รื้อถอน กลายเป็นจำเลยแล้ว

เขาให้ออก ด้วยเหตุว่า เขาซื้อมา แล้วแท้จริงๆ เป็นของใครกันแน่?

เรณู : ตาของเรา พูดว่า เป็นของตา ตาอ่านหนังสือไม่ออก ตา ก็ไม่รู้เรื่องว่า จะไปออกเอกสารสิทธิ์ตรงไหน ตาไม่เคยพูด คือชาวบ้านใครมาอาศัย ก็ขอตา คุณตาก็ให้อยู่เป็นกลุ่มที่นั่นหมด

ฝั่งเจ้าของที่ตอนนี้ ที่พูดว่า ไปซื้อที่ดินแปลงนี้มา เขาซื้อจากใคร?

ป้าดุก : ซื้อจากนางดารา ลูกสาวโต๊ะคีรี หนึ่งของชาวเลรุ่นแรกที่เข้ามาอยู่ ออกเอกสารสิทธิ์ไปครั้งแรก 51 ไร่ สค. 1 พอมารังวัดครั้งที่สอง เป็น 81 ไร่ พอมาเป็น น.ส.3 ในเวลานี้ 140 ไร่

คนมาซื้อแปลงนี้เป็นนักธุรกิจ ที่รุกอุทยานด้วย?

ป้าดุก : คนนี้แหละค่ะ เขาไปสร้างรีสอร์ตรุกอุทยานค่ะ

พี่ต้องการให้เอาที่แปลงนี้คืนมาเป็นสาธารณะประโยชน์ หรือยังไง?

ป้าดุก : ให้เปิดทางก่อน

มุม นายทุน จะยังไง

มุมนายทุน จะยังไง?

พันตำรวจตรีวรณัน : หนึ่ง พวกเรา ดูก่อนว่า กระบวนการได้มา ซึ่งเอกสารสิทธิ์ชอบมั้ย ถ้าไม่ชอบ วิธีการจากนั้น ก็ไม่ชอบ สิทธิ์ก็ไม่ได้ ประเด็น คือ จะเป็นความผิด ฐานบุกรุกหรือไม่ เดี๋ยวไปดูข้อสรุปตามทีหลัง แต่ว่าประเด็นเรื่องการเปิดทาง ที่ทนายความเสนอแนะ ก็ถูกทางแล้ว ไปใช้สิทธิ์ทางศาล

ทนายแก้ว : ถ้าหากพวกเรา จะไปรื้อถอนยกแผงเหล็กออก ตรงนี้ พวกเรา ทำไม่ได้ การที่จะเอาออกได้ เรา ก็ต้องใช้สิทธิ์ทางศาล ร้องเข้าไป ให้ศาลมีคำสั่งคุ้มครองระหว่างพิจารณาคดีก่อน ด้วยเหตุนั้น พี่จำเป็นต้องรีบดำเนินการร้องต่อศาล จะเอาไปรื้อเองจะกลายเป็นข้อหา ทำให้เสียทรัพย์ ตรงนี้ พี่ต้องระวังครับ

ฝั่งพี่ได้รับความเดือดร้อนอย่างไร?

เรณู : เวลานี้ คือ มีคดีฟ้องร้องอยู่ ขณะนี้ ยังเข้าออกบ้านได้ แต่ก็กลัว

ป้าดุก : เขาก็ติดป้ายว่า ห้ามใครเดินเข้ามาในที่ดินของเขา พี่น้องเขาก็เลยกลัว

เด็กนักเรียนอยู่ในสาย เดือดร้อนอย่างไร?

นักเรียน : เข้าออกโรงเรียนยาก เพราะ มีรั้วกั้นนะครับ

ขึ้นเรืออ้อมหน้าชายหาดได้ จริงมั้ย?

เด็กนักเรียน : จริงนะครับ แต่ใช้เวลานาน มันไกลด้วยนะครับ ไม่โอเค หากนั่งเรือไป

สิ่งที่เด็กๆทำกัน ทำกันยังไง?

นักเรียน : ปีนรั้วนะครับ เขาก็ยังกั้นอยู่ เด็กนักเรียน ก็จะต้องใช้วิธีนั้น ซึ่งมันเสี่ยงต่อการเกิดอันตรายมากกับชีวิตมากเลยนะครับ

ถ้าเกิดปีนรั้วแบบนี้ ทางเขาก็สามารถแจ้งบุกรุกได้เหมือนกัน?

ทนายความแก้ว : ถูกครับผม กรณีนี้ ความผิดฐานบุกรุกชัดเจน เนื่องจาก เขาก็มีสิทธิ์คุ้มกันที่เขาอยู่แล้ว แต่การที่น้องๆปีน แม้ว่าจะอ้างเหตุว่า เรา จะเข้าไปเรียนหนังสือ แต่ว่าเราต้องไปว่ากัน ว่าตัว นายทุน มีสิทธิ์ปิดมั้ย จำเป็นต้องรอให้ทนายไปดำเนินการฟ้อง เพื่อเพิกถอนก่อน

โรงเรียนบนเกาะหลีเป๊ะ

ประเด็นการฟ้องร้องเข้าใจ แต่ว่าปัญหาเร่งด่วน ที่ต้องแก้ คือ

จุดที่เด็กนักเรียน ต้องไปเรียน จะแก้ปัญหานี้ ได้ยังไง สมมตินายทุนเขาซื้อที่ดินแปลงนี้ถูกหมดเลย เขาอ้างเป็นที่ดินของเขา จะแก้ไขอย่างไร?

ทนายความแก้ว : ก็จะต้อง ดูว่า ไอ้ที่ตรงนี้ เป็นทางสาธารณะที่คุณมีสิทธิ์ซื้อหรือเปล่าก่อน ถ้ามีทางสาธารณะเป็นส่วนหนึ่งในโฉนด ที่คุณจะซื้อเอกสารสิทธิ์ คุณก็ซื้อไม่ได้ ด้วยเหตุว่า กฎหมายกำหนดชัดเจนว่า ทางสาธารณะประโยชน์ซึ่งมาจากแผ่นดิน มันจะกระทำการซื้อขายจับจองกันไม่ได้ จะต้องพิสูจน์กันว่า พื้นที่ตรงนี้ เป็นทางสาธารณะอยู่

วันนี้ไปเรียนกันยังไง?

นักเรียน : ปีนรั้วข้ามมาครับผม ทั้ง 300 คนครับผม

ไปขอนายทุนหรือยัง?

เด็กนักเรียน : เคยขอร้อง แต่ว่าเขาไม่สนใจพวกหนูเลย

ทางโรงเรียนว่ายังไง?

นักเรียน : ทางโรงเรียนไม่ได้ว่าอะไร แต่ว่าพวกเราเป็นคนจะต้องเข้าโรงเรียน มันก็ยาก

จากที่เห็นมากับตา ประเมินยังไง?

อนุชา : พี่น้องประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน รวมถึง เด็กนักเรียน พ่อแม่ ผู้ปกครอง วิถีชีวิตเขา เขาอยู่กันมาเป็น 100 ปี ตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตายาย จนถึงตอนนี้ เขาก็ใช้เส้นทางนี้ เป็นเส้นทางหลัก แล้วย้ายถิ่นฐานกันตลอดมา เพราะ ถูกความเจริญก้าวหน้า เข้ามาครอบงำ ในวิถีชีวิต เป็นอะไรที่น่าเห็นใจมาก

ประเด็นที่จะคุยกับ นายทุน มีอะไรบ้าง?

อนุชา : จากการถาม ทุกคนก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่า ทางเส้นนี้ เขาใช้เป็นทางหลักในชีวิตประจำวันมานานแล้ว โรงเรียน ก็ใช้เส้นทางนี้ ไม่ใช่นักเรียน เรียนอย่างเดียว แม้แต่เขาเป็นชาวเล เขาก็ใช้วิถีชีวิต สำหรับในการทำมาหากินกับทางนี้ด้วย

ไม่ใช่เฉพาะเด็กนักเรียนอย่างเดียว ก็ไม่มีทางเส้นอื่นให้เขาได้ออกมาดำเนินชีวิตตามปกติ ผมรู้สึกว่า มันเป็นสิ่งสำคัญเป็นอย่างมาก ที่ประเด็นนี้ต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม อย่างเต็มรูปแบบ

อีกกรณี ชาวบ้านก็ลำบากใจเช่นกัน มองอีกมุมนึง คือ มีเด็กๆเด็กนักเรียน 300 คน รวมทั้ง ชาวบ้านบริเวณนั้น เคยไปขอนายทุนท่านนั้น บอกว่า ขอเถอะอย่าปิดเลย แต่ว่าเขาก็ไม่คุยด้วย เขาติดเลยว่า บุกรุกมีโทษตามกฎหมายต่างๆนานา ประเด็นอย่างนี้เหมือนเขาไม่ได้เกรงกลัวอะไรหรือเปล่า?

อนุชา : ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวจำเป็นต้องดำเนินงานตามกฎหมาย อย่างเต็มที่ เมื่อกี้นี้ได้ยินชื่อท่านเลขาฯ ธนกฤต เรื่องนี้จะต้องให้กระทรวงยุติธรรมเป็นเจ้าภาพ สำหรับการบริหารจัดการ ในส่วนกระบวนการยุติธรรม และ เรียกร้องสิทธิ์แทนพี่น้อง ที่เขาขาดที่พึ่งพิง
ผมรู้สึกว่า ประเด็นนี้ ไม่เหลือบ่ากว่าแรงกระทรวงยุติธรรม ที่จะมาดำเนินการ หากเจ้าของ หรือ คนได้รับสิทธิ์ ถ้าหากเขามีความรู้สึกว่า เขาดำเนินการถูกหรือไม่อย่างไร เดี๋ยวค่อยมาว่ากัน

อยากพูดอะไรกับท่าน?

ป้าดุก : เรื่องเร่งด่วนค่ะ ด้วยเหตุว่า ช่วงนี้ เด็กก็ไม่ได้ตั้งใจเรียน พอเด็กไปนั่งเรียน เขาก็มาเชื่อมเหล็กที่จะปิด พี่น้องก็เก็บเต็นท์มา 4 รอบแล้วค่ะ พอพี่น้องไม่มาเฝ้า เขาก็เอาคนงานมาก่อสร้าง เป็นอย่างนี้เมื่อวันที่ 26 จนถึงวันนี้ พี่น้องคุยกับปลัดเรา คุยกันเข้าใจว่า ถอยนะ วิ่งกันออกมา จะต้องมาเฝ้าไม่ให้เขาเชื่อมเหล็กสำเร็จ ศาลจะนัดสืบสวนอาทิตย์หน้า

อนุชา : ผมลงมาพูดคุยกับพี่น้อง ทั้งยังผู้บัญชาการ รองผู้บัญชาการ ภาค และก็ บิ๊กโจ๊ก รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ทางดีเอสไอก็จะได้เฝ้าระวัง เพื่อให้มีการพูดคุยหลายมิติ ให้เกิดความเที่ยงธรรม ไม่ต้องห่วงนะครับ ผมได้คุยกับพี่น้อง ในส่วนแกนนำ พี่น้องต่างๆ ออกจะชัดเจน

สำหรับในการเดินทางระยะยาว เพื่อลูกหลาน เพื่อให้เขามีชีวิต และ ความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นด้วย ไม่ใช่แค่ ณ เวลานี้เท่านั้น คุยกันในส่วนระยะยาวที่เราจะดูแล

กลัฟ

“กลัฟ คณาวุฒิ” เข้าวงการ 4 ปี ยังต้องพัฒนาฝีมือ ขอเป็นตัวเองเพื่อรักษาความนิยม

ขึ้นแท่นเป็นหนุ่มฮอตแล้วก็ว่าได้ สำหรับพระเอกหนุ่ม กลัฟ คณาวุฒิ ไตรพิพัฒนพงษ์ ที่ขณะนี้ มีผลงานทั้งภาพยนตร์ บัวผันฟันยับ ประกบนางเอกเบอร์หนึ่ง แอน ทองประสม แล้วก็ ยังมีผลงานละคร มัดหัวใจยัยซุปตาร์ ประกบนางเอกมากความสามารถ เจนี่ เทียนโพธิ์สุวรรณ กำลังถ่ายทอดทางช่อง 3HD ซึ่งเรื่องราวกำลังสนุกเข้มข้นเลยทีเดียว

มีโอกาสได้คุยกับพระเอกหนุ่ม จึงถามความรู้สึก หลังได้ร่วมงานกับ 2 นางเอกระดับท็อปของวงการ พร้อมทั้ง มุมมองสำหรับเพื่อการกว่า 4 ปี รู้สึกว่า ตัวเองประสบผลสำเร็จแล้วหรือยัง

ภาพยนตร์เข้าโรงแล้ว ละครก็จะออนแอร์แล้ว รู้สึกกดดันมั้ย ?

“ก็รู้สึกกดดันนะครับ เนื่องจากว่า ภายหลังออนไปแล้ว พวกเราก็จำเป็นต้องดูฟีดแบ็กด้วยว่า คนที่ตัดสินการแสดงของพวกเรา ก็คือ ผู้ชม ถ้าเกิดผู้ชมฟีดแบ็กโอเค ทุกอย่างโอเค ก็รู้สึกโล่งไปเปลาะหนึ่ง แต่ว่าพวกเราก็จำเป็นต้องไปนั่งศึกษาอีกว่า ที่พวกเราทำไปทั้งหมดเนี่ย มันยังมีบกพร่องตรงจุดไหนอยู่บ้าง พวกเราก็จำเป็นต้องมานั่งปรับปรุงแก้ไข”

ลองนั่งดูผลงานตัวเองที่ไม่ใช่ซีรีส์วาย ให้คะแนนผลงานตัวเองเท่าไหร่ ?

“เอาภาพยนตร์ บัวผันฟันยับ ก่อนนะครับ ในด้านคอมเมดี้ อาจจะสัก 7 คะแนนแล้วกัน ยังจำเป็นต้องปรับปรุงอีกค่อนข้างจะมาก เนื่องจากว่า ในนั้นก็จะอุดมไปด้วยคนที่มีเซ้นส์ตลกขบขันค่อนข้างจะมาก พวกเราจำเป็นต้องไปปรับปรุงตัวเอง จะได้ทันพวกพี่เขาครับผม”

กลัฟ คณาวุฒิ

คอมเมนต์ด้านบวกก็โอเค แล้วคอมเมน์ต์ด้านลบล่ะ ?

“ด้านลบก็มีครับผม ผมก็เห็น มันก็เข้าใจนะ เพราะ หลายคนที่เขามีความคิดหรือว่าอะไรแนวๆนี้ มันแตกต่างกันอยู่แล้ว เขาก็อาจจะไม่ได้ชอบแนวนี้ หรือ อาจจะมีความรู้สึกว่า มุกมันฝืด บางครั้งมุกฝืดสำหรับเขา อาจจะฮามากสำหรับคนอื่นก็ได้”

คอมเมนต์ด้านลบที่เราเอามาคิดต่อยอดได้ ?

“มีเรื่องของคอมเมดี้นี่แหละครับผม ที่พวกเราเห็นฟีดแบ็กมานะ ที่เกี่ยวกับตัวเราก็จะเป็นเรื่องคอมเมดี้ ที่อาจจะยังไม่ได้กลมกลืนกับพวกพี่มากสักเท่าไหร่ ส่วนนี้พวกเราก็จำเป็นต้องไปปรับปรุง”

หมายความว่าเราเครียดมากกับการเล่นคอมเมดี้ ?

“แรกๆก็เครียดครับผม เนื่องจากว่า ผมกลัวเล่นแล้วมันจะไม่ฮา เนื่องจากว่า ถ้าเกิดคอมเมดี้เล่นไม่ฮา ก็ไม่ใช่คอมเมดี้ครับผม เราก็พยายามอยากให้ทุกคนดูแล้วได้รับความสนุกสนานครับผม”

เราเล่นเองไม่ฮา ก็ยิ่งเครียดหนักเข้าไปอีก ?

“เล่นเองมันก็ฮาแหละ แต่ว่าไม่ทราบว่า คนที่เราเล่น เขาจะฮากับมุกเราหรือเปล่า อีกอย่างหนึ่ง คือ เรื่องจังหวะ อันนี้ก็เป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ สำหรับเพื่อการเล่นคอมเมดี้ ผมรู้สึกว่า ถ้าเกิดจังหวะไม่ดี ต่อให้มุกมันฮาแค่ไหน ยังไงก็ไม่ฮา”

เรามองว่าตัวเองเป็นคนตลกขบขันไหม ?

“ก็เป็นคนกวนตีนแล้วกันครับผม(หัวเราะ) ผมก็มีเล่นมุกบ้าง แต่ว่าจะเป็นเล่นกับเพื่อนซะส่วนใหญ่”

จริงๆกลัฟถนัดแนวไหน ?

“ถนัดแนวแซวเล่นขำๆ แต่ว่าให้เล่นมุกเป็นตับๆเลยไม่ได้ครับผม เราทำจังหวะให้เหมือนพี่ๆเขาที่เล่นตลกไม่ได้ ถามว่ามีหลุดบ้างมั้ย ตอนเล่นก็มีหลุดบ้าง เนื่องจากว่า อย่าง พี่ฮาย อาภาพร ซึ่งพี่ฮายแทบไม่ต้องทำอะไรเลย เขาแค่นั่งอยู่เฉยๆ แล้วพูดอะไรของแกไปเรื่อยเปื่อย เท่านั้น ก็ฮาแล้วครับผม แทบไม่ต้องพยายามอะไรเลย”

นับว่าเป็นภาพยนตร์ปราบเซียน เนื่องจากว่า รุ่นพี่แต่ละคอมเมดี้จ๋ามาก ?

“ใช่ครับผม แล้วผมจำเป็นต้องเจอพี่ฮายบ่อยมาก เจอทุกซีนเลย เนื่องจากว่า ในเรื่องเขาเล่นเป็นแม่ เรา ก็ต้องเจอเขาบ่อยครั้ง จะพูดอะไรก็ฮา แม้กระทั่งพูดเอาจริงเอาจัง ก็ฮา เขาพร้อมนอกบทกันตลอดเวลา ทั้งพี่ก๊อตจิ แล้วก็ พี่จ๊ะด้วย คือ 3 คนนี้ พร้อมจะไหลไปเรื่อยๆ มีแต่ผมกับพี่แอน ทองประสม นั่งมองดูกันอยู่สองคนภายในซีน เนื่องจากว่า พวกเราเบบี๋กันมากเลย ในเรื่องคอมเมดี้”

ทั้งภาพยนตร์ แล้วก็ ละคร สองเรื่องนี้ เราได้เก็บเกี่ยวการแสดงยังไงมาบ้าง ?

“เยอะเลยครับผม สำหรับเรื่องภาพยนตร์ ถ้าเกิดพูดตรงๆ อาจจะไม่ได้มากเท่าละคร เนื่องจากว่า ด้วยความมันเป็นคอมเมดี้เนอะ อาจจะยังไม่ได้จำเป็นต้องเอาจริงเอาจังมาก หรือว่าลงดีเทลเยอะแยะขนาดนั้น
แต่ว่าพอในส่วนของละคร เราศึกษาค่อนข้างจะมาก หลายเรื่องเลยครับผม ทั้งพวกดราม่า ซึ่งเรา ก็ไม่ได้ถนัด ไม่ได้เก่งพวกนี้ มาตั้งแต่ต้น เราก็ได้พี่เจนี่ คอยช่วย คอยบิ้ว คอยดึง ให้เราเข้าไปอยู่ในสถานการณ์นั้นให้ได้”

ผลงานทั้งสองเรื่องนี้ ได้ร่วมงานกับดาราหนังตัวแม่ทั้งหมดเลย ?

“ใช่ครับผม ของพี่แอนก็จะได้เห็นเกี่ยวกับเรื่องของวินัย เกี่ยวกับวิธีทำงาน หรือว่า วิธีทำการบ้าน อะไรแนวๆนี้ เราก็นั่งเก็บรายละเอียดมา ถามว่า เขาชวนไปวิ่งออกกำลังกายด้วยมั้ย ก็ชวนอยู่ครับผม แต่ว่าพวกเราก็บอกพี่เขาว่า ขอนอนก่อนนะครับ พี่เขาไม่ว่าๆ พี่แอนน่ารักครับ พี่แอนไม่เคยดุเลย พี่เจนก็ไม่ดุนะ พี่เจนก็น่ารัก(หัวเราะ) เป็นคนตั้งใจทั้งคู่ ทั้งพี่แอน แล้วก็ พี่เจนี่เลย”

ขณะนี้ กลัฟ งานแน่นตลอดเหมือนเดิมใช่มั้ย ?

“ก็แน่นนะครับ มาเรื่อยๆ เดี๋ยวมีคิวไปต่างประเทศมกราคม น่าจะไปประเทศเกาหลีครับผม”

กลัฟ คณาวุฒิ ไตรพิพัฒนพงษ์

ตารางงานแน่นจะหาเวลาพักผ่อนมั้ย ?

“ช่วงนี้ ก็อาจจะยังไม่ได้พัก แต่ระยะหลังจากนี้ ก็จะเป็นช่วงเทศกาล ตอนปีใหม่ อาจจะเป็นไปได้ว่าจะมีได้พักบ้าง ถามว่า คิดอยากลาพักร้อนสัก 10 วันมั้ย ยังไม่ได้คิดเลยครับผม ถึงกับขนาด 10 วัน ยังไม่ได้คิด แต่ 2-3 วัน ก็มีคุยกับที่บ้าน กับเพื่อนๆบ้างครับผม”

ปีใหม่นี้ คือ ไม่รับงานเลยใช่มั้ย ?

“คิดว่า ครับ คิดว่า ไม่รับ แต่ว่าก็ไม่แน่(หัวเราะ) ก็มีติดต่อมาบ้าง แต่ว่าเราก็ยังชั่งใจอยู่ว่าจะยังไงดี อยากพักดีมั้ย เนื่องจากว่า ทั้งปีตลอดมา เราก็ทำงานมาตลอด”

ถ้าเกิดมองดูในมุมความสำเร็จ กลัฟ รู้สึกว่า ตัวเองมาเร็วมั้ย ?

“ถามว่า เร็วมั้ย ก็เร็วนะครับ จัดว่าค่อนข้างจะเร็วเลย แต่ว่าถามว่าประสบผลสำเร็จหรือยัง ก็แค่ในระดับนึง แต่ว่าก็ยังไม่ถึงกับขนาดประสบผลสำเร็จในสายอาชีพนี้เลย ยังจำเป็นต้องปรับปรุงอีกมากเลยครับผม”

กลัฟ จะดูแลทั้งยังชื่อเสียงความนิยมชมชอบ ที่มีคนรักมากๆแบบนี้ไว้ยังไง ?

“เรา ก็เป็นตัวของตัวเองนี่แหละครับผม ผมว่าสิ่งที่จำเป็นที่สุดเลย คือ สม่ำเสมอครับผม เนื่องจากว่า ถ้าเกิดเราสม่ำเสมอกับทุกคน กับพี่แฟนคลับทุกคน เราเป็นยังไง ก็เป็นอย่างนั้น ยังไงพี่ๆแฟนคลับ เขาไม่มีทางทิ้งเราอยู่แล้ว ยังไงเขาก็รักเราอยู่แล้ว เราให้ใจเขา ก็ให้ใจเราเหมือนกัน ใจแลกใจครับ”

กลัฟเข้าวงการบันเทิงมากี่ปี ?

“เข้ามาปีที่ 4 ก็ประสบผลสำเร็จในระดับนึง ถามว่า มีเป้าหมายอะไรที่ต้องการจะทำอีกมั้ย ในตอนนี้ยังไม่ได้มีเป้าหมายอะไรที่เป็นชิ้นใหญ่อะไรขนาดนั้น จริงๆเราเพียงแค่อยากทำงานในวงการเรื่อยๆ ทำให้ครบทุกบทบาทเท่านั้นในตอนนี้นะครับ พรุ่งนี้ อาจจะเป็นไปได้ว่าจะมีเป้าหมายใหม่ก็ได้ครับผม”

อีลอน มัสก์

“อีลอน มัสก์” เสียแชมป์บุคคลร่ำรวยที่สุดในโลก ให้เจ้าของหลุยส์ วิตตอง

อีลอน มัสก์ เจ้าของทวิตเตอร์และซีอีโอTesla เสียตำแหน่งบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลก ในวันพุธ อ้างอิงมาจากการจัดอันดับของนิตยสารฟอร์บส จากมูลค่าหุ้นTeslaที่ร่วงลงอย่างมาก และมหากาพย์ดีล
ทวิตเตอร์ 44,000 ล้านดอลลาร์

อีลอน มัสก์ เสียแชมป์ให้กับ เบอร์นาร์ด อาร์โนลด์

สำนักข่าวรอยเตอร์อ้างรายงานของนิตยสารฟอร์บส ที่ได้ระบุว่า อีลอน มัสก์เสียแชมป์ไปชั่วคราวในวันพุธให้กับเบอร์นาร์ด อาร์โนลด์ วัย 73 ปี ซีอีโอของ LVMH ผู้ผลิตสินค้าแบรนด์หรูอย่าง Louis Vuitton, Christian Dior และ Givenchy และยังเป็นเจ้าของร้านขายเครื่องสำอางค์ Sephora ที่มีมูลค่าทรัพย์สิน 184,700 ล้านดอลลาร์

เขา ช่วงชิงตำแหน่งนี้มาจากเจฟฟ์ เบโซส ผู้ก่อตั้งแอมะซอน และครองตำแหน่งบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลก ตามการจัดอันดับของฟอร์บส มาตั้งแต่เดือนก.ย.ปีก่อน ซึ่งมีทรัพย์สินมูลค่า 185,400 ล้านดอลลาร์ ตามข้อมูลของฟอร์บส
ณ บ่ายวันพุธ

มูลค่าทรัพย์สินสุทธิของเขา ลดลงต่ำกว่า 200,000 ล้านดอลลาร์ในวันพุธ ภายหลังจากที่ผู้ลงทุนเทขายหุ้นเทสลา จากความกังวลว่าผู้บริหารและผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทรถยนต์ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้ารายนี้จะทุ่มเทให้กับทวิตเตอร์มากขึ้นกว่าเมื่อก่อน

นอกเหนือจากTeslaแล้ว เขายังบริหารบริษัทเทคโนโลยีอวกาศ SpaceX และนิวรัลลิงค์ สตาร์ทอัพที่พัฒนาชิปฝังใส่สมองซึ่งจะเชื่อมต่อสมองมนุษย์กับระบบคอมพิวเตอร์อีกด้วย

บุคคลร่ำรวยที่สุดในโลก

เปิดประวัติ“อีลอน มัสก์”

อีลอน รีฟ มัสก์ เกิดเมื่อวันที่ 28 มิ.ย. 1971 ที่กรุงพริทอเรีย หนึ่งในสามเมืองหลวงของประเทศแอฟริกาใต้ ในครอบครัวที่มีพ่อเป็นวิศวกรชาวแอฟริกาใต้ และแม่เป็นนางแบบและนักโภชนาการเชื้อสายแคนาดา เขามีน้องชาย 1 คน และน้องสาว 1 คน

ในวัยเด็ก เขาสนใจและมีพรสวรรค์ในเรื่องคอมพิวเตอร์และวิดีโอเกมส์ เมื่ออายุ 12 ปี เขาก็ลงมือเขียนโค้ดวิดีโอเกม สร้างชื่อให้กับตัวเอง ต่อมาเขาได้เข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยพริทอเรียเป็นระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่จะย้ายไปอยู่แคนาดาเมื่ออายุได้ 17 ปี เพื่อเลี่ยงการเกณฑ์ทหาร โดยได้เข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยควีนส์ ในรัฐออนแทรีโอของแคนาดา 2 ปีต่อมาจึงย้ายไปมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย สหรัฐอเมริกา เขาเรียนจบปริญญาด้านด้านเศรษฐศาสตร์และฟิสิกส์ ก่อนที่จะย้ายไปอยู่รัฐแคลิฟอร์เนียในปี 1995 เพื่อเข้าศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด แต่สุดท้ายเขาเลือกที่จะทุ่มให้กับธุรกิจของเขามากกว่า

เขาเป็นผู้ก่อตั้ง บริษัทหลายแห่ง ตั้งแต่บริษัทเว็บซอฟต์แวร์ “ซิป2” ร่วมกันกับน้องชาย ก่อตั้งธนาคารออนไลน์ “เอ็กซ์ดอทคอม” ซึ่งถูกรวมกิจการกับบริษัทคอนฟินิตี และกลายเป็นบริษัทPayPalในปัจจุบัน ในเวลาต่อมาในปี 2002 เขาก่อตั้งบริษัทSpaceX บริษัทผู้ผลิตยานอวกาศและผู้ให้บริการขนส่งทางอวกาศ และในปี 2004 ได้ก่อตั้งและร่วมลงทุนในบริษัทTeslaซึ่งได้ขึ้นดำรงตำแหน่งซีอีโอ ในปี 2008 นอกเหนือจากTeslaบริษัทดังกล่าว เขาก็ยังก่อตั้งบริษัทโซลาซิตี้ โอเพ่นเอไอ นิวรัลลิงก์ และบอริ่งคอมพานี นอกจากนี้ยังเป็นผู้เสนอแนวคิดเรื่องไฮเปอร์ลูป ระบบการเดินทางด้วยความเร็วสูงผ่านท่อสุญญากาศอีกด้วย

บุคคลร่ำรวย

จุดเริ่มธุรกิจของอีลอน มัสก์

เขาย้ายไปอยู่แคนาดาตอนอายุ 17 ปี โดยได้รับสัญชาติแคนาดาผ่านทางแม่ ไปเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยควีนส์ ในเมืองคิงสตัน ที่ซึ่งเขาได้พบกับ จัสติน วิลสัน ภรรยาคนแรกของเขา โดยทั้งคู่แต่งงานและมีลูกชายถึง 5 คน เป็นแฝด 2 และแฝด 3
ก่อนที่จะหย่ากันในปี 2008

ภายหลังจากเรียนที่มหาวิทยาลัยควีนส์ได้ 2 ปี เขาก็ย้ายไปเรียนที่มหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนียในสหรัฐอเมริกา เลือกวิชาเอก 2 ตัว แต่เขาไม่ได้เรียนอย่างเดียว เขากับเพื่อนนักศึกษาอีกคน ได้ซื้อหอพักขนาด 10 ห้องนอนและใช้เป็นเหมือนไนต์คลับส่วนตัว ก่อนที่เขาจะเรียนจบปริญญาตรีสาขาวิทยาศาสตร์เอกฟิสิกส์ และสาขาศิลปศาสตร์เอกเศรษฐกิจจากโรงเรียน วาร์ตัน

พออายุ 24 ปี เขาก็ย้ายไปแคนาดาเพื่อเรียนต่อปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด แต่เนื่องจากยุคนั้นเป็นช่วงที่อินเทอร์เน็ตเฟื่องฟูขึ้นมาและซิลิคอนวัลเลย์กำลังบูม ก็ทำให้วิสัยทัศน์ในฐานะนักธุรกิจของมัสก์พรั่งพรู จนทำให้เขาล้มเลิกเรื่องการต่อปริญญาเอกทันที หลังจากสมัครได้เพียง 2 วัน

อีลอน มัสก์ เสียแชมป์

มหากาพย์การ เทกโอเวอร์ ทวิตเตอร์
เขาถือเป็นผู้ใช้งานเว็บไซต์ทวิตเตอร์ตัวยง ก่อนที่จะมีการเปิดเผยในเดือนเมษายนที่ผ่านมาว่า เขาถือหุ้นทวิตเตอร์ถึง 9.2% ทำให้คณะกรรมการของทวิตเตอร์เสนอตำแหน่งในบอร์ดบริหารแก่เขา ซึ่งเขารับก่อนที่จะปฏิเสธภายในไม่กี่วันต่อมา ภายหลังจากนั้น เขาก็ส่งจดหมายถึงบอร์ดบริหารของทวิตเตอร์ เสนอจะซื้อบริษัทในราคา 54.20 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อหุ้น

นั่นคือจุดเริ่มต้นของมหากาพย์การซื้อทวิตเตอร์ของเขา ในตอนแรกบอร์ดของทวิตเตอร์ ไม่ต้องการขาย และใช้กลยุทธ์วางยาพิษ (poison pill) ด้วยการอนุญาตให้ผู้ถือหุ้นเดิม สามารถซื้อหุ้นออกใหม่ในราคาที่ถูกลงกว่าเดิม เพื่อลดการถือครองของนักลงทุนรายใหม่ และเพื่อไม่ให้เขาถือครองหุ้นมากขึ้นกว่าเดิม แต่สุดท้ายทวิตเตอร์ก็ตกลงขายบริษัทภายใต้ข้อตกลงมูลค่า 4.4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ

ทว่าในเดือนกรกฎาคม 2022 เขากลับพยายามที่จะถอนตัวออกจากข้อตกลงดังกล่าว อ้างว่าทวิตเตอร์ล้มเหลวในการให้ข้อมูลเกี่ยวกับบัญชีผู้ใช้ปลอมและสแปมในระบบ ทำให้ทวิตเตอร์ยื่นฟ้องร้องมหาเศรษฐีรายนี้ เพื่อบังคับให้เขาทำข้อตกลงให้เสร็จสิ้น หลังจากนั้นทั้ง2ฝ่ายก็ต่อสู้กันทางกฎหมายเรื่อยมา

กระทั่งในวันที่ 3 ต.ค. 2022 เขาก็กลับลำอีกครั้ง โดยระบุว่าเขาจะซื้อทวิตเตอร์ในราคาที่เขาเสนอไปในตอนแรกคือ 54.20 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อหุ้น หากผู้ให้บริการเครือข่ายสังคมออนไลน์เจ้านี้ยอมถอนฟ้อง ต่อจากนั้นในวันที่ 26 ต.ค. เขาไปยังสำนักงานใหญ่ของทวิตเตอร์ที่ซาน ฟรานซิสโก พร้อมกับแบกซิงก์ล้างหน้า และเปลี่ยนข้อมูลประวัติบนหน้าทวิตเตอร์ของตัวเองใหม่ โดยใช้คำว่า “Chief Twit”
ก่อนที่จะปิดดีลซื้อขายในวันต่อมา ได้เป็นเจ้าของทวิตเตอร์อย่างเป็นทางการ

อีลอน มัสก์ เสียแชมป์หลุย

Tesla กับ SpaceX อีลอน มัสก์

เข้ามาส่วนร่วมธุรกิจกับ Tesla ซึ่งตอนนั้นยังใช้ชื่อ Tesla Motor ในฐานะนักลงทุนเริ่มแรกเมื่อปี 2004 โดยสนับสนุนเงินทุกจำนวน 6.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และเข้าร่วมทีมบริหารบริษัทร่วมกับนาย มาร์ติน เอเบอร์ฮาร์ด ผู้รับตำแหน่งซีอีโอ แต่อย่างไรก็ตาม เกิดความไม่ลงรอยกันหลายอย่างในบริษัท ทำให้นายเอเบอร์ฮาร์ดถูกถอดจากตำแหน่งในปี 2007 ก่อนที่เขาจะรับตำแหน่งซีอีโอ กับฝ่ายสถาปัตยกรรมผลิตภัณฑ์ และทำให้ Tesla กลายเป็นผู้ผลิตรถยนต์ที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก

ในขณะเดียวกัน เขาใช้เงินส่วนใหญ่ที่ได้จากเงิน 180 ล้านดอลลาร์ที่ได้จากการขายหุ้น PayPal ในการก่อตั้งบริษัท เทคโนโลยีการสำรวจอวกาศ (Space Exploration Technologies Corporation) ซึ่งรู้จักกันทั่วไปในชื่อ SpaceX ในปี 2002 และปัจจุบันก็กลายเป็นผู้ผลิตจรวดนำส่งรายใหญ่ของโลก ได้ทำสัญญาณขนส่งกับองค์การNASA และเขาวางแผนจะส่งนักบินอวกาศไปยังดาวอังคารให้ได้ภายในปี 2025 ด้วยความร่วมมือกับNASA

แมท ภีรนีย์

“แมท ภีรนีย์” เปิดใจครั้งแรก? หลังถูกจับตา สถานะความรัก “สงกรานต์”

หลังจากที่ปลดปล่อยให้บรรดาชาวเน็ตต้องสงสัยกันอยู่นาน ในที่สุด แมท ภีรนีย์ คงไทย นางเอกซุปตาร์ขวัญใจแฟนละคร ก็ได้ออกมาเปิดใจสะสางประเด็นร้อน เป็นครั้งแรก ถึงสถานะความสัมพันธ์กับไฮโซหนุ่ม สงกรานต์ เตชะณรงค์ ที่ดูเหมือนกับว่าจะไม่ค่อยมีภาพหวานๆ ปรากฎให้เห็น แถมที่ผ่านมาบนอินสตาแกรมสตอรี่ของเจ้าตัว ก็ยังได้มีการโพสต์ข้อความชวนให้รู้สึก เอ๊ะ! ด้วยเบาๆ

ซึ่งทั้งหมดนี้ แมท ภีรนีย์ ได้อธิบายโดยละเอียด พร้อมอัปเดตสเตตัสความรัก ระหว่างเธอ และก็ สงกรานต์ ให้พวกเราฟังว่า…

“จะต้องเกริ่นก่อนว่า (หัวเราะ) เหมือนหาเรื่องให้ตนเอง คือ…ตัวหนังสือที่เห็นนะคะ จะต้องแยกเป็น 2 อัน จะต้องแยกเป็น 2 ก้อน เอ่อ…มันเหมือนกับเวลาที่เจอคลิป เจอเพลง เจอโควท หรือ เจออะไร ที่มันตรงใจ และก็ เคยเผชิญพบเห็นมา ในอดีต

แมท ก็มักจะหยิบขึ้นมาแชร์อยู่แล้ว มันแค่นั้นเอง และก็ พอมาถึงก้อนที่ 2 ก้อนทำงาน ก็คือปกตินะคะ อันนี้ แมทจะต้องเกริ่นด้วยเหมือนกันว่า แมท เป็นแม่ค้า แมท ขายสบู่ ขายเจลล้างหน้า แมท ก็จะขายเพียงแค่อยู่ในออนไลน์ แมทไม่ได้มีระบบหน้าบ้าน ไม่ได้มีระบบแบบที่แมทจะต้องดูแลพวก ไฟ น้ำ เครื่อง อุปกรณ์ต่างๆ

สงกรานต์

และก็ ทีนี้ พอแมทได้มาเจอกับระบบ ก็คือ…นางก็เปิดให้อะไรอย่างนี้ แมทเลยต้องการจะเต็มที่กับมัน ไม่ต้องการให้คนไหนมาว่าพวกเราได้ ทำอะไร พวกเราก็อยากทำให้ดี แมทก็เลยแบบจั้มพ์อินไปเลย จนถึงเพื่อนๆ กล่าวว่า ‘หายไปเลย ไม่รับโทรศัพท์’ และก็ ประเด็นของสตอรี่ก้อนนี้ ก็คือ

พวกเราแซวตนเอง ‘เอ้ย! แก ฉันไม่รับโทรศัพท์เลยนะ ฉันยุ่งมาก ฉันจะต้องแก้นู้น ฉันจะต้องทำนี่ ทำคนเดียวหมดเลยทั้งหมดทุกอย่าง อะไรแบบนี้’ เพื่อนก็เลยแซวแมท กล่าวว่า ‘ก็ไม่สวยไง ก็เหนื่อยหน่อยนะ’ แค่นั้นเลย แต่ว่าบังเอิญแมทลืมไปว่า ตอนเช้า หรือ บ่าย ไม่รู้ แมทไปลงโพสต์อันนั้น มันก็เลยดูต่อเนื่อง”

สรุปแล้วทั้งหมดทั้งมวล ไม่มีใดๆเลย ที่เกี่ยวกับ สงกรานต์ ?

“ไม่เลยค่ะ และก็ มีคนถามแมทเรื่องนี้เยอะมากเลยนะคะ รับโทรศัพท์ไม่ไหว หูไหม้แล้ว (หัวเราะ)”

คนโยงไปถึงเรื่องที่เราทำบุญ ปฏิบัติธรรม กล่าวว่า เราไปทำใจ ?

“เรื่องทำบุญ แมททำทุกตอนเช้าอยู่แล้วค่ะ”

สงกรานต์ เขางงไหม จู่ๆก็มีประเด็นนี้โผล่ขึ้นมา ?

“คือ…ก็ยังไม่ได้คุย ด้วยเหตุว่า ต่างคนต่างยุ่ง ยุ่งมากค่ะ”

เขารู้ไหมว่า เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเขา ?

“อันนี้ขอยังไม่ตอบได้ไหม เพราะว่า แมทเองก็ยังไม่ได้คุยกับพี่เขาจริงๆ คือ ในตอนนี้แยกกันทำงาน แทบจะไม่ได้เจอกันเลย”

อาจเป็นเพราะเนื่องจาก รูปคู่ ไม่ค่อยมีให้เห็น คนก็เลยยิ่งตีความไปเรื่อยๆ ?

“ยังไม่ค่อยมีโอกาสค่ะ อย่างที่บอก เราทำงานกันเยอะ รวมทั้ง ยังไม่ได้ไปพักผ่อนที่ไหนด้วย”

เจอกันลดน้อยลง แต่ว่าก็ยังดีกันเหมือนเดิม ?

“เดี๋ยวกลับไปคุยก่อน (หัวเราะ) ยังตอบไม่ได้ คือ แมทเกร็งไปแล้ว ถ้าเกิดตอบไปแล้ว มันใช่หรือไม่ใช่ยังไง แต่แมทคือเหมือนเดิมเลย ถ้าเกิดมีอะไร เดี๋ยวก็จะพูดจริงๆ พี่ๆก็รู้อยู่แล้วว่า แมทไม่เคยโกหก แมทพูดทั้งหมดทุกอย่างจริงๆ”

ยืนยันสักนิดว่า ความรักยังดีเหมือนเดิม ?

“ก็…เดี๋ยวกลับไปคุยก่อน ยังไม่ได้คุยเลย”

ช่วงหยุดยาว จะมีแพลนท่องเที่ยวไหม ?

“ไม่ค่อยมีค่ะ ไม่ค่อยได้ไปไหน แต่ว่าที่เห็นว่าแมทไปต่างจังหวัดบ่อยมาก ไปต่างประเทศบ้าง อันนั้น คือ ไป เพราะว่า งานทั้งนั้นเลย เขาเชิญชวนไป”

คำตอบของเรา ออกจะคาใจ กลัวไหมว่า คนจะไม่เคลียร์ และก็ ตีความหมายผิด ?

“ค่ะ ดีเลยค่ะ ที่พี่ๆถาม คือ ที่แมทกล่าวว่า ยังไม่ได้คุย แปลว่า แมทยังไม่ได้ทราบว่า พี่เขารู้สึกอย่างไร หรือ อะไรกับข่าวสารนี้ หรือ กับโพสต์นี้ ที่มันมองใหญ่มาก แมทยังไม่ได้ถามความรู้สึกเขา แต่ว่าถ้าเกิดถามความรู้สึกของแมท ก็คือ แมทยังเหมือนเดิมทุกๆอย่างค่ะ”

ทุกวันนี้ ยังพูดคุยกันปกติ ยังโทรศัพท์หา ยังพูดเล่นๆกันอยู่ ?

“ไม่ค่อยค่ะ ด้วยเหตุว่า ยุ่งกันจริงๆ อย่างตัวพี่เขาเอง ก็มีธุรกิจเกี่ยวกับก่อสร้าง และก็ ตัวแมทเอง พอแมทมีร้านที่จะต้องดูแล และก็ เขาก็ตั้งใจทำให้ แมทเลยตั้งใจมาก อย่างช่วงแรกๆ นางก็จะส่งแชทมาบอกประมาณว่า ‘ตั้งใจทำด้วยนะครับ’ ซึ่งแมทก็มีความคิดว่า แมทไม่ต้องการที่จะอยู่เฉยๆ แมทอยากทำให้เต็มที่ ทำตัวให้เป็นประโยชน์”

คู่เราไม่ได้คู่ที่แบบจะต้องโทรศัพท์หากันทุกๆวัน ใช่ไหม ?

“ช่วงหลังค่ะ ช่วงหลังด้วยความยุ่ง รวมทั้ง อย่างที่บอก คือ แมทไม่ต้องการที่จะอยากปิดว่า แบบ ‘ปกติค่ะ เหมือนเดิมค่ะ’ แม้ว่า เราแบบยุ่งมาก คุยกันน้อยจริงๆ คือ ไม่ต้องการให้เข้าใจผิด หรือว่า มีข่าวที่ไปเขียนเอง หรือ ไปคุยกันเอง ด้วยเหตุว่า สุดท้ายแล้วอ่ะค่ะ ผลพวงมันจะตกมาอยู่แมทคนเดียว ซึ่งถ้าเกิดเป็นแมทคนเดียว แมทก็ยังโอเค แต่ว่าแมทจะเสียใจทุกครั้ง หากมันกระทบ ไปถึงคนอื่นๆ”

วันนี้เราก็พูดในส่วนของตัวเองล้วนๆ?

“ใช่ค่ะ แมทก็พูดในส่วนของแมทจริงๆ”

เจอสงกรานต์ครั้งล่าสุดเมื่อไหร่ ?

“เมื่อวานนี้ เจออยู่ค่ะ เจอเดินอยู่ไกลๆ”

ต่างคนต่างทำงานแบบนี้ จะทำให้ความหวานลดลงไหม ?

“จริงๆ คู่เราไม่ได้สวีทอยู่แล้วมาตั้งแต่ต้น ถ้าเกิดจะกล่าวว่า เป็นคู่รักห้าวๆ ก็ได้ และก็ วันนี้ก็ดีใจนะคะ ที่ได้ออกมาพูด”

เปิดใจครั้งแรก แมท ภีรนีย์

ประวัติแมท ภีรนีย์ คงไทย

“แมท ภีรนีย์ คงไทย” ชื่อเล่น แมท เกิด 28 ก.ค. พ.ศ. 2532 เป็นนักแสดงหญิงลูกครึ่งไทย-นอร์เวย์ โดยบิดา เป็นชาวนอร์เวย์ มารดา เป็นคนไทย เดิมใช้สกุล วงศ์ดารา โด่งดังจากผลงานการแสดง ทางสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 แมท เกิดที่จังหวัดกรุงเทพมหานคร สำเร็จการศึกษาระดับอนุบาล-มัธยมศึกษาตอนต้น ที่โรงเรียนวาสุเทวี

ระดับม.ปลาย ที่โรงเรียนสารสาสน์เอกตรา สายศิลป์-ดนตรี และก็ สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คณะศิลปกรรมศาสตร์ สาขาการละคร ยิ่งกว่านั้น เธอยังสามารถเล่นกีตาร์ และก็ ไวโอลินได้ ส่วนงานอดิเรกอย่างอื่น เธอชอบการวาดภาพ และก็ ชื่นชอบสะสมแสตมป์ และก็ หนังสือการ์ตูน

แมท ภีรนีย์ ก้าวเข้าวงการบันเทิง ตั้งแต่อายุ 13 ปี โดยคำชวนของโมเดลลิ่ง ที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง และก็ มีผลงานสร้างชื่อเสียง กับผลงานโฆษณาครีมอาบน้ำสบู่ลักส์ คู่กับ “อั้ม พัชราภา ไชยเชื้อ” ต่อมาทางช่อง 3 มองเห็นแวว จึงให้โอกาสเธอ เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มพาวเวอร์ทรี รุ่น 2 แมทเริ่มงานแสดงละครจากบทสมทบ ละครเรื่อง เรือนนารีสีชมพู

ต่อมา จึงได้รับบทนำในละคร มณีดิน และก็ ชมพู่แก้มแหม่ม ละครในสังกัด เมกเกอร์ เจ ของ จริยา แอนโฟเน่ แมท เป็นหนึ่งใน “แก๊งเฟอร์บี้” ที่มีสมาชิกเป็นนางเอกช่อง 3 ทั้งหมด 5 ได้แก่ แมท ภีรนีย์, แต้ว ณฐพร ,เต้ย จรินทร์พร , มิว นิษฐา และก็ มิ้นต์ ชาลิดา ซึ่งเป็นนางเอกตัวท็อปของช่อง 3 ทั้งสิ้น หากมีเวลาว่างก็จะได้มีโอกาสเที่ยวพร้อมแก๊งเสมอ

มิ้นท์ I Roam Alone

“มิ้นท์ I Roam Alone” เล่าอุทาหรณ์โดนไกด์ทิ้ง-ลวนลาม บอกนี่ไม่ใช่ครั้งแรก

เบื้องหลังการเดินทาง ที่มิได้สวยงามทุกครั้ง “มิ้นท์ I Roam Alone” เล่าอุทาหรณ์ โดนไกด์ทิ้ง-ลวนลาม ขณะไปถ่ายคลิป ที่เนปาล บอกนี่ไม่ใช่ครั้งแรก

วันที่ 1 เดือนธันวาคม 2565 มีชาวเน็ตมากมาย เข้าไปให้กำลังใจ “มิ้นท์” มณฑล กสานติกุล เจ้าของเฟซบุ๊กเพจ “I Roam Alone” หลังมิ้นท์ ได้แชร์ประสบการณ์เบื้องหลัง การเดินทางที่มิได้สวยงาม ที่เนปาล เมื่อมิ้นท์ แล้วก็เพื่อนร่วมทริป ถูกไกด์ทิ้ง แล้วก็พยายามลวนลาม

โดยมิ้นท์ เขียนเล่าเรื่องราวทั้งหมดว่า “เมื่อโดนไกด์เนปาลทิ้ง และโดนลวนลาม นักเดินทางผู้หญิง อยากให้อ่านนะคะ ความตั้งอกตั้งใจสำหรับการเล่าเบื้องหลัง การเดินทางครั้งนี้ เพราะเหตุว่าการเดินทาง ก็เหมือนการใช้ชีวิตแต่ละวัน ที่มีทั้งเรื่องดี ๆ และก็มีเรื่องไม่ค่อยดีด้วย บางวันเราพบคนน่ารัก ได้ยิ้มทั้งวัน

แต่ในวันเดียวกัน ก็อาจจะโดนหลอก เดินหลงทาง พบคนแย่ ๆ จนต้องร้องไห้ เพราะเหตุว่าการเดินทาง ก็มิได้สวยหรูสำเร็จ ทุกครั้ง เหมือนชีวิตที่ไม่ได้สวยงาม ทุก ๆ วัน เลยอยากมาแบ่งปันทุก ๆ ด้านนะ

มิ้นท์ I

มิ้นท์ I Roam Alone เล่าการไปถ่ายล่าผึ้งเนปาลครั้งนี้

ไม่มีอะไรได้ตามแผนสักอย่าง การสื่อสารกับไกด์หลักพังพินาศ จนจะต้องยืนโบกรถ ไปเรื่อย ๆ แทบไม่ได้กลับบ้านพัก แล้วมารู้คราวหลัง ด้วยว่า นักล่าผึ้งไม่ได้เงินจากไกด์ เราสักบาท ส่วนไกด์ท้องถิ่น ที่ไกด์หลักเอาเรามาทิ้งเอาไว้ ก็คอยจ้องจะโดนตัว แบบไม่เหมาะสม จนมิ้นท์กับเพชร จะต้องคอยดุสลับเดินหนีตลอด สุดท้ายพวกเรา ตัดสินใจยอมเรียก เฮลิคอปเตอร์ พากลับกาฐมาณฑุ เพราะว่ารู้สึกไม่ปลอดภัย

สำหรับนักเดินทางผู้หญิง การถูกลวนลาม คือเรื่องที่น่ากลัว แล้วก็นี่ไม่ใช่ครั้งแรก ที่เกิดเรื่องนี้ขึ้นที่เนปาล แต่เป็นครั้งที่ 2 แล้ว โดยครั้งแรก ทำให้รู้สึกแย่มาก โทษตนเอง จนทำให้กลัว การเดินทางไปพักนึงเลย ในตอนนั้นคนที่ทำเป็นไกด์ชาวเชอร์ปา อีกเหมือนกัน จนอดคิดมิได้ว่า นี่คือเรื่องที่เกิดขึ้น บ่อย ๆ แล้วเคยมีใคร โดนแบบนี้อีกบ้างไหม

ครั้งแรกเดินทาง ไปเนปาลเมื่อปี 2015 ในตอนนั้นตั้งใจไปเดินขึ้นยอด Lobuche ยอด 6,000 เมตรแล้วก็เดินต่อไปที่ Everest Basecamp การเดินทางครั้งนี้ ไม่ได้ไปคนเดียว แต่ไปกับกลุ่มสิงคโปร์ ซึ่งหัวหน้าทีม เป็นคนที่เรารู้จัก แล้วก็ไว้ใจมาก เขาปีนเขาที่เนปาล มาหลายสิบปีและกำลัง พยายามขึ้นยอด 8,000 ทั้ง 14 ยอดให้สำเร็จ

การเดินทางเริ่มต้นดีมาก เจ้าของบริษัทปีนเขา ที่เนปาลที่หัวหน้าทีม ใช้มาหลายปีให้พวกเรา นั่งเฮลิคอปเตอร์เข้าเมือง Lukla แทนนั่งเครื่องบิน ซึ่งน่าตื่นตาตื่นใจมาก ๆ

ภายหลังจากอยู่ที่เมืองลุกลา เพื่อปรับร่างกายแป๊บนึง เราก็เริ่มต้น เดินเพื่อไปที่ Everest Basecamp แต่ใครจะไปรู้ หลังเดินไปได้ ไม่ถึงครึ่งทาง แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ ที่เนปาลก็เกิดขึ้น ทุกอย่างชุลมุนไปหมด อินเทอร์เน็ตถูกตัด โทรศัพท์ที่ใช้ได้ มีเพียงโทรศัพท์ดาวเทียม ของหัวหน้าทีม ในตอนนั้นจำไม่ได้ว่า เพราะอะไร แต่หัวหน้าทีม ตัดสินใจเดินหน้าไปต่อไป ที่ EBC เพื่อดูว่า จะยังพอปีน ยอด 8,000 ได้ไหม แทนที่จะเดินกลับ ทุกคนก็รีบเดินไปกับเขา จนเราที่ร่างกาย อาจยังไม่พร้อม ได้รับบาดเจ็บหมอนรองกระดูก ปลิ้นทับเส้นประสาท จนขาชาไป 1 ข้าง แต่ถึงจะเป็นอย่างงั้น ก็ยังฝืนเดินต่อ อีกหลายวัน เพราะเหตุว่ามัน ไม่มีทางเลือกอื่น

I Roam Alone

เสียงเฮลิคอปเตอร์บิน ผ่านไปผ่านมาตลอดเวลา เพื่อขนย้าย

คนที่ได้รับบาดเจ็บ ที่ Everest Basecamp หัวหน้าทีม ก็พยายาม เรียกเฮลิคอปเตอร์กลับเมือง Lukla เช่นเดียวกันแต่ว่าก็ไม่ได้ เพราะเหตุว่าถึงแม้เฮลิคอปเตอร์ที่ว่า มีมากที่เนปาล แต่ก็มิได้เยอะ พอสำหรับวิกฤต ที่ใหญ่ขนาดนี้ เราเลยจำต้องเดินกัน กลับลงมา

วันนึงที่ ที่พักที่อยู่ระหว่างทางเดินลง กลับไปที่เมือง Lukla หัวหน้าทีมก็กล่าวว่า ไกด์เจ้าของบริษัท หาเฮลิคอปเตอร์ได้แล้ว จะส่งเฮลิคอปเตอร์มารับ แต่เฮลิคอปเตอร์ มีที่ว่างเพียงที่เดียว เขาบอกว่าให้เธอ ไปกับเขาเพราะเหตุว่าเธอบาดเจ็บ ส่วนพวกฉันจะเดินลงไป พบกับเธอที่เมือง Lukla จะได้กลับกาฐมาณฑุด้วยกัน

ในตอนนั้นตนเองดีใจ แล้วก็โล่งใจมาก ๆ เพราะเหตุว่าปวดหลัง จนทนเกือบจะไม่ไหว ขาก็ไม่มีแรงแล้ว ใครจะไปรู้ว่า นี่จะเป็นจุดเริ่มต้น ของฝันร้าย ย้อนกลับไปหลังจากเรื่องที่เกิดขึ้น เหมือนกับเขาพยายาม แยกเราออกจากกลุ่มมากกว่า…

ทันทีที่เฮลิคอปเตอร์จอด ไกด์คนนี้ก็พาเรา เข้าที่พักตามปกติ แต่ที่ผิดปกติคือ เขาจะคอยมาอยู่ใกล้ ๆ คอยพยายาม โดนตัวเราตลอด ขณะที่นั่งลง เขาจะเดินมา นั่งใกล้ ๆ มาขอนวดให้ จับบ่าจับขาจนเราจะต้องปฏิเสธ เป็นพัลวัน แต่ที่น่ากลัวที่สุด คือ เขาพูดว่า “สองสามคืนนี้ขอไปนอนที่ห้องได้ไหม ที่พักมันเต็มหมดเลย ขอไปนอนด้วยนะ” พอเราปฏิเสธ เขาก็พูดหัวเราะ ๆ บอกว่า “เดี๋ยวเข้าไปเองได้”

หลังจากวันแรกที่ไปถึง ทุกคืนก็ต้องเอาเก้าอี้ มาวางดันประตู แล้วเอากุญแจ เสียบเข้าไปในล็อ เพราะเหตุว่าเคยอ่านเจอว่า จะทำให้อีกคนที่มีกุญแจไข เข้ามามิได้ ส่วนช่วงกลางวันก็จะนั่งอยู่นอก ที่พักเพื่อหลบเขา จะปวดขาปวดหลัง ก็จะต้องอยู่ด้านนอก เพราะเหตุว่าพบทุกครั้งก็จะ โดนจับตัวเสมอ

ระยะเวลาหลายวันนั้น เครียดมาก เพราะเหตุว่ามีความรู้สึกว่า ไม่มีทางสู้อะไรได้เลย ขาก็บาดเจ็บ เรื่องราวหลัง แผ่นดินไหว ก็ดูเหมือนแย่ลงเรื่อย ๆ ทุกวันรอแต่ว่า ทีมจะมาถึงเมืองเมื่อไหร่ แต่ทีมก็ไม่มาสักที จนสุดท้ายไกด์คนนี้ เดินมาบอกว่า “มีเฮลิคอปเตอร์แล้ว เดี๋ยวเราลงไปพร้อมทีมจีน”

ความรู้สึกในตอนนั้นคำว่า โล่งใจยังน้อยไป มันเหมือนยกภูเขา ออกจากตัวไปเลย เพราะเหตุว่ารู้สึกว่า อย่างน้อยถึงกาฐมาณฑุ เราก็จะปลอดภัย

ตลอดเวลาแทบ 1 ชั่วโมง บนเฮลิคอปเตอร์ ไกด์คนนี้ มานั่งตัวติดอยู่กับเรา แล้วก็พยายามโอบไหล่ ไปตลอดทาง เขามากระซิบใกล้ ๆ ว่า “ฉันมีลูกมีเมียแล้วนะ ที่กาฐมาณฑุคงจะ อยู่กับเธอมากไม่ได้ เอางี้ไหม เดี๋ยวไว้เราไปดูไบกัน เดี๋ยวฉันพาเธอไปเที่ยวไปโดดร่มกัน” ในใจในตอนนั้นนึกอย่างเดียวว่า ขอให้ถึงไว ๆ เพราะเหตุว่ามันน่าอึดอัด แล้วก็น่าขยะแขยงมาก ที่กาฐมาณฑุเขาเป็น คนจัดการที่พัก ซึ่งอยู่นอกเมืองไปหน่อย เพื่อรอทีม ที่กำลังจะตามมา อีกวันหรือสองวัน ตอนเขายื่นกุญแจให้ เขาก็ทำเหมือนเดิม คือ

“เธอนอนห้องอะไรนะ”
“ไม่บอก”
“ไม่เป็นไรเพราะฉันรู้เบอร์ห้องเธอ”

มิ้นท์

ทุกคืนที่นั่น ก็เลยเป็นเหมือนเดิม คือ ต้องหาอะไรมาขวางประตูไว้ แต่ยังดีที่ไม่ต้องเจอกับเขาบ่อย ๆ

ถามว่าเพราะอะไร ไม่ไปหาที่พักเอง ถ้าเกิดใคร อ่านข่าวแผ่นดินไหว ที่เนปาลในตอนนั้น จะรู้เลยว่า เมืองทั้งเมืองราบ เป็นหน้ากลอง พื้นถนนพัง เสาไฟฟ้าล้มระเนระนาด แล้วก็แผ่นดินไหวย่อย ๆ เกิดขึ้นตลอด

โรงแรมที่ปลอดภัย มีไม่มากแล้วก็ สำหรับนักท่องเที่ยวอย่างเรา ยิ่งไม่มีทางรู้ ได้เลยว่า ที่ไหนจะปลอดภัย ที่ทำได้ในตอนนั้น คือ รอไฟล์ทกลับกรุงเทพฯ

ที่แย่กว่านั้น เป็นทันทีที่ทีมมา ถึงแล้ว เราแจ้งหัวหน้าทีม เขากลับหัวเราะแล้วบอกว่า ‘ดีแล้วนะ ได้นั่งเฮลิคอปเตอร์ฟรีดีจะตาย’ พอได้ยินเขา พูดอย่างงั้น ตนเองก็ยิ่ง สับสนว่า นี่เป็นสิ่งที่ยอมรับ ได้ที่นี่รึเปล่า

3-4 วัน ที่อยู่ที่เนปาล ครั้งใดก็ตามที่ทีม จะต้องพบกับไกด์คนนี้ เราก็จะต้องคอยเดินหลบ เพราะเหตุว่าเขาจะ ทำเหมือนเดิมอยู่เสมอ เพียงสบตา เรายังไม่กล้า

จนเมื่อเดือนที่แล้ว อ่านพบข่าวนึงเกี่ยวกับ Everest พอเห็นรูปเขา กับลูกชายที่ลงข่าวดัง ในวงการปีนเขา ตนเองก็ยังรู้สึก ชาไปหมด เขาเป็นเหตุผล ที่ทำให้ไม่กล้ากลับไป ที่เนปาลมาหลายปี

นี่เป็นเหตุผลว่า เพราะอะไรการมาเนปาลครั้งนี้ ถึงตัดสินใจใช้ไกด์ ที่เพื่อนไว้ใจ และไม่กล้าใช้ไกด์ คนไหนก็ได้ แต่ก็เป็นอีกครั้ง ที่จะต้องเจอปัญหา ยังโชคดีที่เหตุการณ์ เปลี่ยนทำให้พวกเรา ไม่ต้องอดทนแล้วก็กล้าจะสู้กลับ

ถ้าถามว่า ทำไมไม่แจ้งความ ทำไมไม่เล่าเรื่อง เหล่านี้ก่อนหน้านี้ จริง ๆ เคยพูดเรื่องนี้บ้าง แต่ก็เล่าแค่นิดหน่อย เพราะกลัวกลัวคำพูดที่ว่า “แล้วไปทำไม?” “อยากเดินทางคนเดียวก็แบบนี้…” กลัวโดนบอกว่า ที่เจอแบบนี้ เป็นเพราะเราหาเรื่องเอง…

แต่ที่ตัดสินใจ เล่าเพราะเหตุว่านี่เป็นครั้งที่ 2 แล้วที่เกิดขึ้น ที่เนปาล และทั้ง 2 ครั้ง ก็มิได้เดินทางคนเดียวด้วย ที่อยากแบ่งปัน เรื่องนี้เพราะเหตุว่า อาจจะมีหลายคน ที่เคยพบเรื่องเหล่านี้เหมือนกัน หรือถ้าเกิดต่อไป

จะต้องพบกับคนเหล่านี้ อยากบอกว่าไม่ต้องมัวโทษตนเอง เพราะเหตุว่าการล่วงละเมิดทางเพศ ไม่ใช่พฤติกรรมที่ยอมรับได้ ไม่ว่าจะกับใคร ที่แห่งไหน เมื่อไหร่ เราจะอยู่บ้าน จะเดินทางคนเดียว หรือจะเดินทาง เป็นกลุ่ม ไม่ว่าจะที่ใด อย่างไรการล่วงละเมิดทางเพศ ก็ไม่สมควรเกิดขึ้นทั้งนั้น

มุนซังมิน

สื่อเผยความมาแรงของ มุนซังมิน ได้รับข้อเสนองานโฆษณากว่า 20 แบรนด์ หลังแจ้งเกิดในซีรีส์ Under The Queen’s Umbrella

นาทีนี้ถ้าจะต้องพูดถึงดารา หน้าใหม่ ดาวรุ่งที่กำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างยิ่งแล้วนั้น
นักแสดง มุนซังมิน อาจจะเป็นหนึ่งในรายชื่อ ที่จะต้องถูกนึกถึงอย่างแน่แท้ เนื่องจากจาก บทบาท องค์ชายซองนัม ในซีรีส์ Under The Queen’s Umbrella
ที่เขาได้แสดงนั้น นอกเหนือจากการที่จะได้รับความรัก อย่างล้นหลาม จากทักษะ การแสดงของเจ้าตัวที่ยอดเยี่ยมแล้วนั้น
แต่ว่ารูปร่างแล้วก็หน้าตาที่สะดุดตาออกมาท่ามกลางนักแสดงมากมาย
ก็ได้รับความสนใจจากแบรนด์สินค้าไปได้ไม่น้อย จนกระทั่งปัจจุบัน Moon Sang Min ได้รับข้อเสนองาน โฆษณามากกว่า 20 แบรนด์ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

Under The Queen’s Umbrella

ภายหลังความมีชื่อเสียงของมุนซังมิน

ที่เริ่มถูกพูดถึงในวงกว้างเพิ่มมากขึ้นนั้น ก็ดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะทำให้อุตสาหกรรมโฆษณาต่าง ๆ
ดูครึกครื้นยิ่งขึ้น
จนกระทั่งปัจจุบันได้มีแบรนด์เครื่องสำอางคัดตัวนักแสดง Moon Sang Min เป็นนายแบบหลักของแบรนด์ เนื่องมาจากทางแบรนด์เครื่องสำอาง
มักเติบโตขึ้นจากการช่วยสนับสนุนของคนซื้อที่อยู่ในช่วงอายุ 18-34 ปี
โดยเหตุนั้นทางแบรนด์ก็เลยตั้งอกตั้งใจทำกลยุทธ์เพื่อสร้างการรับทราบแล้วก็เพื่อเพิ่มความน่าวางใจของแบรนด์ ด้วยการคว้าตัวนักแสดงดาวรุ่งอย่าง Moon Sang Min มาส่งเสริมกลยุทธ์นั้นนั่นเอง

โดยจากการรายงานปัจจุบัน ทางด้านของ Awesome Entertainment ต้นสังกัดของ มุนซังมิน

กำลังอยู่ในช่วงเจรจาปรึกษาขอคำแนะนำเกี่ยวกับความร่วมแรงร่วมใจกับบริษัทแล้วก็แบรนด์สินค้ากว่า 20 สาขา
ที่มากมาย แล้วก็คาดว่างานในคราวนี้จะสามารถส่งเสริมกิจกรรมในตลาดออนไลน์แล้วก็ออฟไลน์ได้ถัดไป
ซึ่งทางด้านต้นสังกัดของMoon Sang Min ก็ได้ออกมาเปิดเผยผ่านสื่อว่า “ขณะนี้เรากำลังได้รับความรักจากแบรนด์ต่าง ๆ ในอุตสาหกรรมมากมาย ไม่ว่าจะเป็น แบรนด์แฟชั่น ร้านค้าออนไลน์ เกม เบเกอร์รี่ แบรนด์นาฬิกา และธุรกิจด้านการศึกษา
ซึ่งจากความสนใจที่ได้รับอย่างท่วมท้นนี้ ไม่ใช่เพียงเพราะบทบาทที่ มุนซังมิน ได้รับในซีรีส์อย่างเดียวเท่านั้น แต่เป็นเพราะหน้าตาอันบริสุทธิ์และสไตล์ฮิป ๆ ของเขาด้วยเช่นกัน”
แล้วก็แน่นอนว่าอนาคตของ Moon Sang Min ที่กำลังจะก้าวขึ้นมาเป็นไอคอนหน้าใหม่ของอุตสาหกรรมข้างต้น
ก็เลยน่าจับตามองเป็นอย่างมากในเวลานี้

Awesome Entertainment

มุนซังมินเริ่มเดบิวต์เป็นนักแสดงแบบเต็มตัวเมื่อปี 2019 ก่อนหน้านี้

ผ่านเว็บดราม่าจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น 4 Reason Why I Hate X-Mas (2019), The Colors of Our Time (2020) แล้วก็ The Mermaid Prince: The Beginning (2020) จนกระทั่งเขาได้พัฒนา ความสามารถเกี่ยวกับการแสดงมา เรื่อย ๆ แล้วก็
เริ่มเป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น
ผ่านซีรีส์ My Name (2021) ก่อนที่จะในปีนี้เขาจะก้าวกระโดด ขึ้นมารับบทบาทนำเป็น ครั้งแรก ในซีรีส์ Under The Queen’s Umbrella (2022) แล้วก็ได้รับความรัก อย่างล้นหลาม จนกระทั่งผลงานนี้ นับเป็น อีกหนึ่งก้าวการบรรลุเป้าหมายของเขาเลยก็ว่าได้

เปิดวาร์ป มุนซังมิน หนุ่มหล่อน้องใหม่ หน้าใสชวนใจละลาย

Moon Sang Min เกิดตอนวันที่ 14 ม.ย. ปี 2000 ในขณะนี้อายุ 22 ปี

กำลังเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยซองคยองควาน (Sungkyunkwan University) สาขาการแสดงและศิลปะ (Acting and Arts Department)
ทั้งเขายังได้เป็นตัวแทนของมหาวิทยาลัยด้วย
เดี๋ยวนี้ซังมินเป็นนายแบบแล้วก็นักแสดงภายใต้สังกัด Awesome Entertainment
ร่วมกับนักแสดงมีชื่ออย่าง พัค ซอจุน แล้วก็ อี ฮยอนอู อีกด้วย

ซังมินเข้าวงการในปี 2018 ในขณะที่อายุได้ 18 ปี
โดยประเดิมด้วยการเดินแบบให้กับคอลเล็คชั่น Fall/Winter ของแบรนด์ Caruso ตามมาด้วยคอลเล็คชั่น Fall/Winter ของแบรนด์ Sewing Boundaries
แล้วต่อจากนั้นในปี 2019
เขาก็เผยตัวผ่านหน้าหน้าจอเป็นครั้งแรกในรายการเรียลลิตี้โชว์ Real High Romance 2
ก่อนที่จะได้ฝากผลงานการแสดงเรื่องแรกในชีวิต คือ เว็บดราม่าเรื่อง 4 Reasons Why I Hate Christmas ซึ่งนับว่าสอบได้เลย

ในปี 2020 ซังมินมีผลงานการแสดงต่อเนื่องถึง 2 เรื่อง นั่นก็คือซีรีส์เรื่อง The Colors of Our Time แล้วก็เรื่อง The Mermaid Prince: The Beginning
ซึ่งเรื่องนี้เขาได้อวดหุ่นเท่ ๆ ด้วย เนื่องจากรับบทบาทเป็นนักว่ายน้ำนั่นเอง ทั้งสองเรื่องเรียกได้ว่ากวาดเรตติ้งไปไม่น้อย
ประกอบกับหน้าหวาน ๆ ไหล่กว้าง รูปร่างสูงของซังมิน เลยทำให้เขาเปลี่ยนเป็นหนุ่มดอกไม้ที่คว้าหัวใจสาว ๆ ไปได้เยอะเลย

ในปี 2021 ก่อนหน้านี้ มุน ซังมิน ก็ได้ร่วมแสดงในซีรีส์สายดาร์กอย่างเรื่อง My Name
ร่วมกับนักแสดงดังจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น ฮัน โซฮี, อัน โบฮยอน, พัค ฮีซุน แล้วก็อีกเยอะมาก
โดยเขารับบทบาทเป็น ‘โก กอนพยอง ตำรวจน้องเล็กในทีมปราบยาเสพติด ที่ถึงจะไม่มีบทบาทมากสักเท่าไรนัก แต่ว่าออกมาแต่ละทีก็ทำเอาใจละลาย แล้วก็ดึงดูดสายตาของแฟน ๆ มากเลย
ที่สำคัญคือซีรีส์เรื่องนี้เรตติ้งดีเยี่ยม จนกระทั่งทำให้ มุน ซังมิน ได้รับความสนใจเป็นอย่างยิ่ง

ดาวรุ่ง มุนซังมิน

แล้วก็สำหรับในปี 2022 นี้ หนุ่มดอกไม้คนนี้

เขาก็มีซีรีส์รอคอยจ่อคิวลงหน้าจอให้ได้รับชมกันถึง 2 เรื่อง คือ Duty After School แล้วก็ Under The Queen’s Umbrella
ซึ่งในเรื่อง Under The Queen’s Umbrella นี้เขาได้รับบทนำด้วย แต่ว่าเท่าที่เห็นผลงานจะต้องบอกเลยว่า หนุ่มคนนี้ไม่ธรรมดา

ไลฟ์สไตล์ของ มุน ซังมิน

ส่วนเรื่องไลฟ์สไตล์ของเขานั้น หนุ่มคนนี้น่าจะไม่ถนัดเซลฟี่ด้วยกล้องหน้า แต่ว่าชอบถ่ายภาพตนเองผ่านกระจก
ซึ่งก็น่ารักไปอีกในลัษณะหนึ่ง นอกจากนี้เขายังชอบถ่ายภาพวิวแล้วก็ท้องฟ้าสีสวย ๆ มาลงในอินสตาแกรมให้แฟนคลับได้ดูกันอีกด้วย

แจ็คสัน หวัง

โป๊ะหรือป่าว?ชาวเน็ตปาหลักฐานแชต อ้างเป็น ‘เพิร์ธ’ ปมล็อกกี้แฟน ‘ แจ็คสัน หวัง ’

พูดได้ว่ากำลังเดือดปุด ๆ กันเลยกับเรื่องราวดราม่า ที่ปะทุขึ้นอย่างต่อเนื่องกับประเด็น
ล็อกกี้แฟนที่ดาราน้องใหม่แห่งวงการอย่าง เพิร์ธ วีริณฐ์ศรา กำลังตกเป็นประเด็นอยู่ตอนนี้
เมื่อเธอได้เป็นลัคกี้แฟนขึ้นเวทีกับ แจ็คสัน หวัง ในคอนเสิร์ตวันที่ 2 ต่อไปก็กลายเป็นที่วิจารณ์อย่างมาก
กระทั่งเธอต้องออกมาอธิบายว่าไม่ได้มีอภิสิทธิ์การเป็นดาราหรือใด ๆ พร้อมขอโทษแฟนคลับด้วย

คอนเสิร์ตแจ็คสัน หวัง

อากาเซ่ฉุน! หลังจาก ‘เพิร์ธ’ขึ้นคอนเสิร์ต ‘แจ็คสัน’ เจ้าตัวเคลียร์สยบดราม่า

ภายหลังที่เธอได้ออกมาอธิบาย และคิดว่าเรื่องราวจะจบลง แต่ถ้าว่ายิ่งแก้ยิ่งแย่ในขณะเดียวกัน
ด้านพลังแห่งโซเชียลต่างพากันติดแฮชแท็ก #ล็อคกี้แฟน ขึ้นเทรนด์ทวิตเตอร์อันดับหนึ่งอย่างรวดเร็ว
ปัจจุบันมีชาวเน็ตได้ปาหลักฐาน เป็นแชตหนึ่งกล่าวถึงว่าเป็นแชตของสาวเพิร์ธ
กำลังสนทนากับทีมงาน โดยเป็นการคุยกันระหว่างที่กำลังเริ่มจะมีการลุ่นลัคกี้แฟน โดยได้ถามว่าดาราสาวอยู่ตรงไหน
พร้อมทั้งให้เดินแทรกมาข้างหน้า เพื่อจะได้ขึ้นมาอยู่ด้านหน้า ซึ่งทางดาราสาวก็มีท่าทีหวั่น ๆ ว่าจะแทรกไปไม่ถึง
แต่ว่าก็ไม่ได้ปฏิเสธแต่อย่างใด กระทั่งขึ้นมาเป็นลัคกี้แฟนได้สำเร็จ

เพิร์ธ

ท่ามกลางแฟน ๆ และอากาเซ่ ที่ไม่พอใจ และคัดค้านต่อสายตาคนที่ได้เห็นคลิปเป็นอย่างยิ่ง แต่ว่าอย่างไรก็ดี แชตดังที่กล่าวถึงแล้วเป็นเพียงการกล่าวลอย ๆ ไม่ได้ระบุแน่ชัดว่าเป็นดาราสาวหรือไม่ อาจจะต้องรอให้สาวเพิร์ธออกมาชี้แจงถึงแชตที่หลุดออกมา เพื่อความเป็นธรรมของทั้งสองฝ่ายด้วย…

เพิร์ธขึ้นคอนเสิร์ต

ดราม่าอีก “ดาว พิมพ์ทอง” โชว์รูปคู่ แจ็คสัน หวัง ถูกโยง สิทธิพิเศษดารา

ดราม่าอีกราย ดาราสาว “ดาว พิมพ์ทอง” หลังจากประกาศใช้ความพยายามกดบัตร 6500 บาท ด้วยตัวเอง
ปัจจุบัน ร่วมคอนเสิร์ต พร้อมโพสต์รูปภาพคู่ “แจ็คสัน” หรือ “พี่แจ็ค” ด้านหลังเวที พื้นที่ห้ามคนนอกเข้า
โซเชียลแห่สงสัย ใช้ สิทธิพิเศษ ชนชั้นดารา หรือเปล่า
ล่าสุด ตอบสั้น ๆ “ขอโทษ”
ก่อนจะไปบันเทิงใจกับโค้งสุดท้าย JACKSON WANG MAGIC MAN WORLD TOUR 2022 มีดราม่าร้อนโผล่อีกแล้ว ภายหลังที่
นางเอกสาว “เพิร์ธ วีริณฐ์ศรา” ถูกสงสัยอาจเป็น “ล็อคกี้แฟน” ไม่ใช่ “ลัคกี้แฟน” จริง ล่าสุด ดาราสาว “ดาว พิมพ์ทอง” ได้ถูกโยง ดราม่า อีกราย หลังจากเจ้าตัวโพสต์รูปความประทับใจใน
คอนเสิร์ต ลงในอินสตาแกรม ทำเอาคนไม่ใช่น้อยถึงกับสงสัย ทำไมถึงได้เข้าไปถ่ายภาพถึงด้านหลังเวทีใกล้ชิดกับ “Jackson Wang” หรือ “พี่แจ็ค”

แจ็คสัน หวัง ขึ้นคอนเสิร์ต

ย้อนไปที่ผ่านมา “ดาว พิมพ์ทอง” เคยออกมาเผยในโลกโซเชียลว่า

เธอได้ใช้ความพยายาม กระทั่งสามารถกดบัตร คอนเสิร์ต “แจ็คสัน หวัง” ที่นั่ง 6500 บาทมาครอบครอง ซึ่งหลายคนก็คิดว่า คือเรื่องธรรดา ทั้งกล่าวชื่นชมด้วยซ้ำที่ไม่ใช่อภิสิทธิ์คนดังสำหรับการกดบัตร
จนถึงปรากฎภาพนี้ออกมา เลยทำให้หลายคนตั้งข้อสงสัยว่า เธอจะใช้อภิสิทธิ์ดาราเช่นเดียวกับกระแสข่าวร้อนที่กำลังถูกพูดถึงอยู่หรือเปล่า
ในเวลาถัดมา “ดาว พิมพ์ทอง” ได้ปิดคอมเมนต์ในอินสตาแกรม ก่อนจะทวิตข้อความ “ขอโทษทุกคนด้วยนะคะ”
ภายหลังที่ข้อความดังที่กล่าวถึงแล้วได้เผยแพร่ออกไป ก็เกิดกระแสวิจารณ์จำนวนมาก
สำหรับ JACKSON WANG MAGIC MAN WORLD TOUR 2022 บัตรราคา 6500 บาท เป็นบัตรโซนยืนที่อยู่ใกล้เวทีส่วนบัตร ราคา 9,000 บาท หรือ “Magic 1” VIP PACKAGE จะมีโอกาสได้ถ่ายภาพกับ “Jackson Wang” และบัตร ราคา 18,000 บาท หรือ “Magic 1” VIP PACKAGE คือบัตรที่พิเศษสุด ๆ คือ จะมีโอกาสได้ถ่ายภาพกับ “แจ็คสัน” รวมทั้งได้ลายเซ็น

ดาว พิมพ์ทอง

“แบมแบม” สยบดราม่า คอนเสิร์ต “แจ็คสัน หวัง” ย้ำความสัมพันธ์ วง GOT7

หลังจากดราม่าร้อน ประเด็นผู้จัดห้ามนำ อากาบง เข้างาน คอนเสิร์ต “แจ็คสัน หวัง”
สร้างความรู้สึกไม่พอใจ และความผิดหวัง ให้กับ อากาเซ บางส่วน แอบมีสั่นคลอนเล็กน้อยในเหล่าแฟน ๆ กันเอง
ล่าสุด “แบมแบม” ตอกย้ำความสัมพันธ์ 7 คือ 7 เหมือนเดิม
ไม่ว่าจะขยับไปไหน ก็ได้รับความพอใจ สำหรับ นักร้อง และ ศิลปิน “Jackson Wang” หรือที่ อากาเซคนไทย เรียกว่า “พี่แจ็ค”
รุนแรงตั้งแต่ก่อนบินลัดฟ้ามาถึงเมืองไทย กระทั่งแฟน ๆ ไปรอต้อนรับกันอย่างล้นหลาม

got7
เพราะเหตุว่าการมาในครั้งนี้พิเศษกว่าไหน กับ “JACKSON WANG MAGIC MAN WORLD TOUR 2022”
คอนเสิร์ต เวิลด์ทัวร์ ครั้งแรก ในฐานะศิลปินเดี่ยวของ “Jackson Wang” และเลือกที่จะจัดที่ประเทศไทยเป็นครั้งแรก
พร้อมให้เหตุผลว่า อยากจะทำให้สมบูรณ์แบบที่สุด และประเทศไทยคือที่ที่พิเศษสำหรับ “Jackson Wang”
ภายหลังที่มาไทยได้ไม่นาน เตรียมตัวจัดคอนเสิร์ต
ได้เกิดกระแสดราม่าร้อนระอุ เมื่อผู้จัดคอนเสิร์ตประกาศห้ามนำ อากาบง หรือ แท่งไฟ ประจำแฟนด้อม ของ GOT7 ซึ่งชาวอากาเซให้ความใส่ใจเป็นอย่างมาก
เพราะเหตุว่าคล้ายกับเป็นสิ่งผูกใจของอากาเซ ไว้กับ GOT7 เพื่อคอยให้กำลังใจอีกทั้ง 7 คน เพราะฉะนั้น นำมาซึ่งการก่อให้เกิดกระแสวิภาควิจารณ์หนัก
ถึงกับขนาดพาดพิงว่า “Jackson Wang” ต้องการแสดงตัวว่า เป็นศิลปินเดี่ยว ไม่ให้ความสำคัญกับ วง GOT7 พร้อมกับย้อนไปที่คอนเสิร์ตของคนอื่น ๆ
แต่ อากาเซส่วนใหญ่ก็เข้าใจในเจตนา
เพราะเหตุว่าส่วนหนึ่งอาจจะเป็นความต้องการของผู้จัด
ซึ่งอาจจะไม่เกี่ยวข้องกับ “Jackson Wang” รวมทั้งการแสดงในคอนเสิร์ต “JACKSON WANG MAGIC MAN WORLD TOUR 2022”
ที่ชี้ให้เห็นว่า เขายังคือส่วนหนึ่งของ วง GOT7 และที่สำคัญ คือ
ล่าสุด หนึ่งในสมาชิก วง GOT7 อย่าง “แบมแบม” ที่ออกมาโพสต์ข้อความผ่านทวิตเตอร์ว่า “อย่าทะเลาะกันเลยครับ อย่าลืมนะครับ 7 ก็คือ 7 และ จะไม่มีวันเปลี่ยนครับ”
ยิ่งทำให้หลายคนจบดราม่าลง
ซ้ำเติมความรักใคร่กลมเกลียวกันเช่นเดิม
GOT7 วงบอยแบนด์ ที่มีสมาชิกทั้งหมด 7 คน คือ เจย์บี, จินยอง, แจ็คสัน หวัง , ยูคยอม, ยองแจ, มาร์คตวน และ แบมแบม
จนถึงช่วงต้นปี 2021 อีกทั้ง 7 คน ได้ตัดสินใจเป็นเสียงเดียวกันว่า จะไม่ต่อสัญญา แต่ว่ายังคงทำหน้าที่ในฐานะ GOT7
คือ แยกย้ายกันไปทำงาน และสร้างผลงาน ก่อนจะกลับมารวมตัวกันอีกทีในช่วงต้นปี 2022 ด้วยการปล่อยซิงเกิลเพลง “NANANA”

พ่อค้า

พ่อค้าขายเป็ดย่างร้อง ถูกอดีตเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ บุกใช้ปืนยิงขู่กลางเมือง

เมื่อเวลา 15.30 น. วันที่ 23 เดือนพฤศจิกายน 2565 ในรายการ “เปิดปากกับภาคภูมิ” ทางไทยรัฐ ทีวีช่อง 32 ดำเนินรายการโดย นายภาคภูมิ พันธุ์สถิตย์ ได้คุยกับ อดุลย์ วีรวัฒนา ในกรณี อดีตพัศดีเมาชักปืนขู่ พ่อค้า เป็ดย่าง กลางเมืองอุดรฯ

อดุลย์ วีรวัฒนา พ่อค้า ขายเป็ด ผู้เสียหาย เล่าว่า

วันที่ 16 เดือนพฤศจิกายน 65 รถปิคอัพของตนเองถูกชนท้าย ขณะจอดซื้อของที่ร้านสะดวกซื้อ ซึ่งรถตนมีกล้องรอบคัน รวมทั้ง สัญญาณเตือนถูกต้อง

แต่ว่าตอนออกมาที่ถนน ได้ยินเสียงชนก็งงสักระยะ ด้วยเหตุว่า ตอนถอยก็มองกล้องแล้ว ไม่มีสัญญาณเตือนอะไร พบว่า ชนกับรถพ่วงข้างขายลูกชิ้นทอด มองเห็นเขาคร่อมรถจักรยานยนต์อยู่ รวมทั้ง บอกว่า ไม่ผิด ตนเลยบอกว่า อาจจะให้เจ้าหน้าที่ตำรวจช่วยตัดสิน ด้วยเหตุว่า ก็มั่นใจว่า มองสัญญาณเตือนถูกต้อง

พ่อค้าขายเป็ด

ในตอนแรก เขาบอกขอโทษไม่มีเงินจ่าย เป็นเพียงแค่คนขายลูกชิ้น รวมทั้ง ทำท่าจะขับรถหนีอย่างเดียว ไม่จ่ายด้วย ตัวเองจึงจับแฮนด์รถจักรยานยนต์ไว้ ท้ายที่สุด เขาจึงยอมไปที่สถานีตำรวจ นัดหมายกันเจอกันตอน 12.00 น. แต่ว่าเขาไม่ยอมมา รอจนกระทั่งบ่าย 3 ร้อยเวรจึงให้ลงบันทึกประจำวันไว้

ต่อมาในวันที่ 20 เดือนพฤศจิกายน 65 ตนมองเห็นคู่กรณีขี่รถมาจอดไว้ที่โลตัส รวมทั้ง เดินผ่านร้านตน จำได้โดยทันที จึงเข้าไปถาม รวมทั้ง บอกให้ไปสถานีตำรวจกับตน เพื่อเคลียร์ ทีแรกๆเขาไม่ยอม ตนจึงบอกว่า ต้องคุมตัวไป ด้วยเหตุว่ามีบันทึกประจำวันไว้แล้ว

เขาจึงไปด้วย เมื่อไปพบกับเจ้าหน้าที่ปรากฏว่า และ ไม่ใช่เจ้าของคดีตน แต่ว่าเจ้าหน้าที่ท่านนั้นก็ให้เบอร์ติดต่อมา ซึ่งเป็นวันอาทิตย์โทรไปหาร้อยเวรเจ้าของคดียุ่ง บอกให้จัดการกันเอง ตนเลยถามคู่กรณีว่า ยอมรับไหมเสียประมาณ 1,1088 ค่าตัวกันชนไม่นับ ให้จ่ายเพียงแค่ 6,000 พอ ด้วยเหตุว่า เห็นอกเห็นใจ เป็นคนขายลูกชิ้น มีรายได้น้อย

แต่ว่าเขาตอบกลับบอกว่า ไม่มีเงินจ่าย ตนจึงบอกให้ทำสัญญาผ่อนชำระเดือนละ 500 ขอเพียงแค่จ่ายรับผิดชอบบ้าง เขาจึง ยืมโทรศัพท์โทรตามคนหนึ่ง เป็น คนภายในคลิปผู้ก่อเหตุ มารู้ทีหลังเป็นอดีตผู้คุมของเรือนจำ

จากนั้นอีก 15 นาที อดีตผู้คุมของเรือนจำมาถึงก็เดินมาถามค่าซ่อมรถ ตนบอกไป 6,000 เขาบอกจะไปซ่อมเอง ใช้อะไหล่เซียงกง น้ำเสียงที่คุยกันเต้มไปด้วยวิวาทะ ต่างคนต่างเสียงดัง สาเหตุมาจากตนบอกว่า เป็นรถปี 2022 จำต้องซ่อมที่ศูนย์ตามสากล

แต่ว่าเขากลับเดินไปบอกเพื่อนว่า “ไม่ต้องจ่ายมันสักบาท ยอมให้ติดคุก” แล้วเดินมาหาผมบอก “มึงอย่ามายุ่ง แล้วมึงจบ ไม่อย่างนั้นกูเอาเรื่องมึงแน่ กูยิงมึงแน่” พอตนได้ยินก็บอกไปว่า คุณเป็นบุคคลที่สามไม่เกี่ยวข้อง มาพูดอย่างงี้ได้ยังไง ตนจึงยกมือถือถ่ายคลิปไว้ แล้วเขาก็เปลี่ยนท่าทางสงบแล้วเดินขึ้นรถไป

 

ถูกอดีตเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์

ต่อมา นายสกาล วีรวัฒนา ลูกชายของ พ่อค้า ขายเป็ดย่าง ผู้เสียหาย เล่าว่า

เมื่อเวลา 15.00 น. วันเดียวกัน มีรถปิคอัพสีขาวมาหาที่บ้าน แต่ว่าไม่ลงรถ จอดประมาณ 20 นาที รอบสองก็มาอีก ตนผิดสังเกต จึงโทรถามพ่อว่าได้ถ่ายทะเบียนรถของคู่กรณีไว้ไหม พอเช็กทะเบียนว่าปรากฎตรงกัน เมื่อคนภายในรถมองเห็นตนกำลังยกมือถือมาถ่าย ก็รีบขับหนีออกไป มาอย่างนั้นอยู่ 3 รอบ พ่อจึงตัดสินใจโทรหาเพื่อนของที่ขับรถชน บอกว่า อย่าไปที่บ้าน อย่าไปยุ่งลูกเมียตน มีอะไรให้มาหาพ่อที่ขายเป็ดย่างหน้าร้าน

นางทัศนี วีรวัฒนา เมียผู้เสียหาย เล่าต่อในเหตุการณ์ในช่วงเวลาที่ อดีตผู้คุมมาหาที่ร้านว่า เขาลงจากรถมาชักปืน ผัวก็วิ่งไปรวบตัว ตนมีความคิดว่า เขาจะเก็บทั้ง 3 คน ด้วยเหตุว่า ลงรถมา รวมทั้ง ยกปืนสาดเลย ดูท่าทางเมาด้วยเหตุว่าได้กลิ่น ตั้งแต่มาจอดรอบแรก ผัวก็ไล่เขากลับ

นายอดุลย์เล่าเสริมว่า ตนบอกกับเขาว่าให้กลับไป ไม่ต้องการที่จะอยากมีเรื่องกับคนเมา ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง น้ำเสียงของตนออกจะที่จะเสียงดัง โกรธที่ไประรานลูกตน แต่ว่าเขาบอกไม่จบ ถึงแม้ไม่ใช่คู่กรณี ก่อนจะเข้ามาถึงตัวระยะห่างเมตรกว่าๆ ตนรีบพุ่งเข้าใส่ไว้ก่อน ด้วยเหตุว่ามีปืน กระทั่งเกิดเหตุชลมุน

ตอนนี้นั้นกลัว แต่ว่าผัวบอกเจ็บกับตายมีอยู่ 2 อย่าง จึงให้ลูกกับเมียให้หนี หรือหาที่ซ่อน อย่างมากไม่เจ็บก็ตาย ด้วยเหตุว่าระยะแค่นิดเดียวจำต้องพุ่งเลย จังหวะพุ่งเข้าไป คือ ทำให้เสียหลักทั้ง 2 คน ตั้งใจจะรวบไว้ เหวี่ยงเขาลง หน้าเขาเลยลื่นไถลกับพื้น ไม่มีการชกเขาแต่อย่างใด

กดลงอย่างเดียว แล้วตะโกนบอกให้ลูกชายวิ่งเอาปืนออกจากมือ ในตอนนั้นมีลูกกระสุนปืนใส่แม็กกาซีนเต็มแม็ก คิดว่าคงจะเก็บทั้งสาม ด้วยเหตุว่ายืนเรียงกัน

พ่อค้าถูกอดีตเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์

นายเอกภพ เหลืองประเสรฺิฐ ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด เผย

ถ้าเกิดเจ้าหน้าที่ตำรวจสอบสวนดังที่ให้การ แจ้งคดีจะพยายามฆ่าได้เลย ด้วยเหตุว่า 1 กระสุน อยู่ในรังเพลิงมาแล้ว แล้วจำต้องพิสูจน์ว่า มีการสไลด์มาก่อนหรือไม่ ประกอบกับมีลักษณะเมา จะรอให้เขายิงไม่ได้

การเข้าชาร์จเสี่ยงมาก เรื่องนี้ จะมองว่า ไม่มีการยิงแจ้งพยายามฆ่าไม่ได้นะ ถ้าเกิดสอบสวนพฤติการณ์แล้ว อาจจะแจ้งพยายามฆ่าได้เลย ผู้ก่อเหตุเท่าที่รู้ ปัจจุบันยังรับราชการอยู่เลย เพียงแต่มีการโยกย้ายจากกรมราชทัณฑ์

ด้าน พันตำรวจเอกจามร อันดี ผู้กำกับ สภ.เมืองอุดรธานี เผยว่า การแจ้งข้อกล่าวหาเกี่ยวกับกรณีดังที่กล่าวมาแล้วนั้น ความผิดแบ่ง 2 ส่วน เป็นอาญาแผ่นดิน คือ เจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นผู้กล่าวหา รวมทั้ง ทางฝั่งผู้เสียหายกล่าวหา

ในส่วนของอาญาแผ่นดิน 3 ข้อหาหลัก 1.พาอาวุธปืนไปที่หมู่บ้าน 2.พาอาวุธไปหมู่บ้านทางสาธารณะ 3. ตรวจวัดแอลกอฮอล์ สำหรับเรื่องการคุมตัว เบื้องต้นมีการซักถามปากคำ แจ้งกล่าวหาตามความผิดที่เกี่ยวข้อง เมื่อมีการควบคุมไว้รัฐธรรมนูญ จำต้องควบคุมตัว 48 ชั่วโมง

แต่ว่าต่อมา ประมาณ 1 วัน ผู้ต้องหาใช้หลักทรัพย์เป็นตำแหน่งค้ำประกัน จึงปล่อยให้ประกันตัวได้ ในระหว่างนี้ ถ้าเกิดผู้เสียหายแจ้งข้อกล่าวหา ก็ต้องมองตามพฤติกรรมว่า มีความผิดฐานได้บ้าง การถึงขนาดพยายามฆ่าไหม ดังนี้ อยู่ในระหว่างซักถามรวบรวมหลักฐาน เพื่อรอแจ้ง

ส่วนกรณีที่กล่าวว่า อาจจะเป็นไปได้ว่าจะมีการช่วยเหลือ ด้วยเหตุว่า เป็นอดีตพนักงานอัยการ ย้ำว่า ไม่ได้ช่วยเหลือกัน น่าจะเป็นการติดต่อสื่อสารที่ผิดพลาด รวมทั้ง สำหรับเพื่อการประกันตัว

เราได้ถามไถ่พฤติกรรมแล้ว ถ้าเกิดผู้ต้องหามายุ่งเกี่ยวกับหลักฐาน หรือคดีแล้ว จะถอนประกันโดยทันที ซึ่งเรื่องนี้ตัวเองได้ไปคุยกับผู้เสียหาย รวมทั้ง ชี้แจงการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ยืนยันชัดเจนกับผู้เสียหายแน่ชัดแล้ว เมื่อวานนี้